สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ประธานาธิบดีฮวน มานูเอล ซานโตส ของโคลอมเบีย เดินทางมารับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปีค.ศ. 2016 ที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม จากการนำรัฐบาลโคลอมเบียบรรลุข้อตกลงสันติภาพกับกองกำลังปฏิวัติโคลอมเบีย หรือกลุ่มกบฎฟาร์ก เป็นการยุติสงครามกลางเมืองที่ดำเนินมายาวนาน 52 ปี คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 220,000 ราย
นายซานโตสได้รับรางวัลเป็นเหรียญรางวัลโนเบลทองคำ ประกาศนียบัตรรับรอง และเช็กมูลค่า 8.0 ล้านโครนสวีเดน (ราว 31 ล้านบาท) ในพิธีที่จัดขึ้นที่ศาลาว่าการกรุงออสโล
คณะกรรมการพิจารณารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพยกย่องนายซานโตสว่าเป็น “แรงขับเคลื่อน” เบื้องหลังข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัฐบาลโคลอมเบียกับกลุ่มกบฎฟาร์กที่ลงนามเมื่อเดือนที่แล้ว
ในการกล่าวสุนทรพจน์ขณะขึ้นรับรางวัล นายซานโตสระบุว่า โคลอมเบียเองได้รับแรงบันดาลใจมาจากกระบวนการสันติภาพในประเทศอื่นๆ อาทิ ไอร์แลนด์เหนือและแอฟริกาใต้
“ข้อตกลงสันติภาพของโคลอมเบียถือเป็นแสงแห่งความหวังในโลกที่เต็มไปด้วยปัญหาความขัดแย้งและการไม่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง” นายซานโตสกล่าว พร้อมอ้างอิงถึงผลการศึกษาของสหรัฐชิ้นหนึ่งที่ระบุว่าข้อตกลงนี้เป็นข้อตกลงสันติภาพที่ครอบคลุมที่สุดใน 34 ฉบับ ซึ่งมีการลงนามกันไปในรอบ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา
“สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า เรื่องที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ในตอนแรก เป็นไปได้หากใช้ความพยายาม แม้กระทั่งในซีเรีย เยเมน หรือ ซูดานใต้” นายซานโตสกล่าว
ด้านกลุ่มกบฎฟาร์กไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมในพิธีมอบรางวัลด้วยยกเว้นทนายความชาวสเปนในฐานะผู้แทนของกลุ่มเท่านั้น ขณะที่นายโรดริโก ลอนดอนโญ ผู้นำกลุ่มฟาร์กได้รับการยกย่องจากนักสังเกตการณ์รางวัลโนเบลจำนวนมากว่า เหมาะสมคู่ควรกับรางวัลนี้ในระดับเดียวกันกับนายซานโตส
ในการกล่าวสุนทรพจน์ขณะรับรางวัลท่อนหนึ่งที่ได้รับการยืนขึ้นปรบมืออย่างล้นหลาม นายซานโตสได้ยกเนื้อเพลง “Blowin’ in the Wind” เพลงต่อต้านสงครามที่โด่งดังที่สุดเพลงหนึ่งของบ็อบ ดีแลน นักร้องนักแต่งเพลงผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมประจำปีนี้ มาอ้างถึงโดยกล่าวว่า “จะต้องตายกันอีกเท่าไหร่หนอ ถึงจะรับรู้ว่ามีผู้สูญเสียมากเกินไปแล้ว? คำตอบนั้นหรือเพื่อน ล่องลอยอยู่ในสายลม”
ทั้งนี้ รางวัลโนเบลสาขาอื่นๆ ทั้งวรรณกรรม การแพทย์ ฟิสิกส์ เคมี และเศรษฐศาสตร์ จะมีการมอบรางวัลในวันเดียวกันหลังจากนี้ ที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน