น้องสาวผู้นำคิมประณามมะกัน วิพากษ์ปล่อยดาวเทียมเหลว
นางคิม โย จอง น้องสาวของนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ออกมากล่าวหาสหรัฐเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ว่าทำตัวเหมือนนักเลงด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ความล้มเหลวในการปล่อยดาวเทียมสอดแนมทางทหาร พร้อมยืนยันว่าเกาหลีเหนือจะประสบความสำเร็จในการปล่อยดาวเทียมได้ในเร็วๆ นี้
คิม โย จอง กล่าวว่า ความพยายามของเกาหลีเหนือในการทำให้ได้มาซึ่งความสามารถในการลาดตระเวนในอวกาศ ถือเป็นการใช้สิทธิทางอธิปไตยโดยชอบธรรม และเป็นการเน้นย้ำให้เห็นว่าเกาหลีเหนือปฏิเสธข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ที่ห้ามไม่ให้มีการยิงที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขีปนาวุธ
การแสดงความเห็นของน้องสาวผู้นำคิมมีขึ้น 1 วัน หลังจากที่เกาหลีเหนือล้มเหลวในความพยายามที่จะส่งดาวเทียมสอดแนมทางทหารขึ้นสู่ห้วงอวกาศ เนื่องจากเครื่องยนต์และระบบเชื้อเพลิงทำงานไม่เสถียรจนสูญเสียแรงขับหลังจรวดแยกออกจากกัน ทำให้ตกสู่น่านน้ำนอกชายฝั่งด้านตะวันตกของคาบสมุทรเกาหลี
คิม โย จอง วิพากษ์คำกล่าวของโฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐที่ออกมาประณามการยิงดังกล่าว เพราะใช้เทคโนโลยีต้องห้าม และยังเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความไม่มั่นคงในภูมิภาค
“สหรัฐกำลังใช้คำพูดพล่อยๆ ที่ถูกกระตุ้นด้วยความคิดบ้าๆ และผิดปกติ หากการปล่อยดาวเทียมของเกาหลีเหนือควรถูกตำหนิเป็นการเฉพาะ สหรัฐและประเทศอื่นๆ ทั้งหมดซึ่งปล่อยดาวเทียมไปแล้วหลายพันดวงก็ควรถูกประณาม นี่ไม่ใช่อะไรนอกเสียจากการอ้างเหตุผลผิดๆ ของพวกย้อนแย้งในตัวเอง” คิม โย จอง กล่าว
น้องสาวผู้นำคิมยังตั้งข้อสังเกตถึงการที่สหรัฐติดตามเกาหลีเหนืออย่างใกล้ชิดผ่านดาวเทียมสอดแนมและอุปกรณ์อื่นๆ บนห้วงอวกาศ และเรียกขานชาวอเมริกันว่าเป็นพวกแก๊งอันธพาล ซึ่งถือว่าการพยายามส่งดาวเทียมขึ้นสู่ห้วงอวกาศของเกาหลีเหนือเป็นเรื่องผิดกฎหมายและเป็นภัยคุกคาม
คิม โย จอง บอกด้วยว่า ตรรกะที่เหนือจริงที่ว่ามีเพียงเกาหลีเหนือเท่านั้นที่ไม่ควรได้รับอนุญาตให้ทำสิ่งนี้ ตามข้อมติของยูเอ็นเอสซีที่ห้ามใช้เทคโนโลยีเกี่ยวกับจรวดขีปนาวุธ โดยไม่คำนึงถึงวัตถุประสงค์แม้ว่าประเทศอื่นจะสามารถทำสิ่งเดียวกันได้ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องของอันธพาลและเป็นความผิดด้วยการละเมิดสิทธิของเกาหลีเหนือในการใช้พื้นที่ในห้วงอวกาศ และเป็นการกดขี่เกาหลีเหนืออย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คิม โย จอง ยังอธิบายถึงสิ่งที่เธอมองว่าเป็นความมุ่งร้ายของสหรัฐต่อเกาหลีเหนือ พร้อมกับย้ำว่า เกาหลีเหนือไม่มีความตั้งใจที่จะกลับไปเจรจากับสหรัฐ หลังการหารือหยุดชะงักมาตั้งแต่ปี 2019 จากความไม่ลงรอยกันเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือที่นำโดยสหรัฐ ซึ่งบังคับใช้กับโครงการอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ
