ผู้เขียน | ปิยมิตร ปัญญา [email protected] |
---|
สงครามกลางเมืองในซีเรีย คงอยู่มานานถึง 6 ปีแล้ว นานจนค่อยๆ เลือนไปจากความสนใจของผู้คนที่สามารถใช้ชีวิตเยี่ยงปุถุชนทั่วไปทั่วโลก
น่าเสียดายที่ในห้วงเวลายาวนานเดียวกันนั้น ชีวิตในซีเรียไม่เคยปกติ เป็นชีวิตที่ต้องดิ้นรนอยู่ท่ามกลางความเป็นความตายตลอดเวลา เป็นชีวิตที่ไม่มีความเป็น “ชีวิต” คือการดำรงอยู่ที่ชวนสลดใจมากกว่าชื่นชมยินดี
ในห้วงเวลาดังกล่าวนั้น การสู้รบซึ่งกันและกัน คร่าชีวิตชาวซีเรียไปมากกว่า 300,000 คน ที่น่าเศร้าอย่างยิ่งก็คือ ไม่น้อยกว่า 15,000 คนในจำนวนนี้คือเด็กๆ ที่นับตั้งแต่ลืมตาดูโลก ไม่เคยได้สัมผัสหรือเคยลิ้มรสชาติของ “ปกติสุข” แห่งชีวิตเลยแม้แต่เสี้ยววินาที
2016 เป็นปีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในสงครามกลางเมืองซีเรียสูงมาก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมา
ในทางหนึ่ง กองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) อ่อนแอลงอย่างมาก หลังจากเคยสำแดงขีดความสามารถเปิดศึกรอบด้าน ทั้งในอิรักและซีเรีย ทั้งต่อกองทัพอิรักที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและต่อกองกำลังกบฏ กับกองทัพของ บาชาร์ อัล อัสซาด ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย
ถึงตอนนี้ ไม่เพียงพื้นที่อิทธิพลของไอเอสจะหดแคบลง แม้แต่กำลังรบของไอเอสก็ลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากยุทธศาสตร์การโจมตีทางอากาศอย่างต่อเนื่องของกองกำลังพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐ อีกส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงของกองทัพรัสเซีย เพื่อป้องกันไม่ให้พันธมิตรอย่าง บาชาร์ อัล อัสซาด ต้องสูญเสียอำนาจต่อรองไปทั้งหมด
ในอีกทางหนึ่ง กลุ่มกองกำลังต่อต้านรัฐบาลซีเรียทั้งหลาย ถูกสถานการณ์บีบคั้น กดดันจนต้องรวมตัวกันเพื่อให้เป็นเอกภาพให้มากที่สุด ฝ่ายกบฏสูญเสียพื้นที่ต่อเนื่อง พื้นที่สำคัญแห่งสุดท้ายที่เสียไปคือ อเลปโป เขตอิทธิพลทางตะวันออกของเมืองใหญ่แห่งนี้ตกเป็นของทหารซีเรียโดยสิ้นเชิง หลังถูกปิดล้อมมานานหลายเดือน
วิธีการของรัสเซียและอัสซาดมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง เนื่องเพราะไม่เลือกเป้าหมาย ไม่เลือกวิธีการ ไม่สนใจความเสียหายข้างเคียงใดๆ ที่จะเกิดขึ้น กลุ่มกบฏต่อต้านอัสซาดจึงกลายเป็นเพียงกองกำลังต่อต้านในชนบทไปในที่สุด
หากอเลปโปคือภาพสะท้อนของซีเรียในยามนี้ อะไรคือตัวแทนที่บอกเล่าเรื่องราวของอเลปโปที่ผ่านมาได้ดีที่สุด?
คำตอบคือ เรื่องของ “บานา อัล-อาบิด”
“บานา อัล-อาบิด” เป็นเด็กหญิงอายุเพียง 7 ขวบ ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับ “ฟาติมะห์ อัล-อาบิด” ผู้เป็นมารดากับน้องชายวัย 5 ขวบอีกคน น่าเศร้าที่บ้านพักอาศัยของพวกเขาทั้งหมดอยู่ในพื้นที่กบฏทางตะวันออกของอเลปโป เมืองใหญ่ที่สุดของซีเรีย แต่เพราะเหตุน่าเศร้าดังกล่าวนี้เองที่ทำให้โลกได้รู้จักบานา
ย้อนหลังไปเมื่อราวปลายเดือนกันยายน บานาเป็นส่วนหนึ่งของทวิตเตอร์แอคเคาต์ “@อัลอาบิดบานา” (@alabedbana) ที่ผู้เป็นมารดาเปิดขึ้นสำหรับ “บันทึกเหตุการณ์รายวันที่เกิดขึ้นในละแวกบ้าน” เพื่อ “ให้ทั่วโลกได้รับรู้ว่าการทำลายล้างในอเลปโปเป็นอย่างไร”
ฟาติมะห์บอกว่า ที่มาของการเปิดบัญชีใช้งานทวิตเตอร์เกิดขึ้นจากคำถามของบานา ที่วันหนึ่งตั้งข้อสงสัยเอากับเธอว่า “ทำไมไม่มีใครได้ยินเรา? ทำไมไม่มีใครมาช่วยเรา?”
บานาชอบเรียนหนังสือ ชอบเรียนภาษาอังกฤษ และชอบอ่านหนังสือ ครั้งหนึ่งเธอกับน้องชายเคยไปโรงเรียน เหมือนกับที่ฟาติมะห์เคยได้ไปมหาวิทยาลัย แต่นับวันการสู้รบยิ่งเกิดขึ้นถี่ยิบและระเบิดยิ่งหนาแน่น จนกระทั่งการเดินข้ามถนนไปอีกฟากหนึ่งยังหมายถึงการเอาชีวิตเข้าเสี่ยง
ฟาติมะห์เลยเลิกพาลูกไปโรงเรียน
บ้านกลายเป็นโรงเรียน ทวิตเตอร์กลายเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนภาษาของบานา
ทั้งสองช่วยกันทวีตข้อความบอกเล่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้นออกไปเรื่อยๆ ข้อความใดที่ลงท้ายด้วยชื่อบานา จะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นประโยคง่ายๆ ผิดพลาดอยู่บ้างตามประสาของเด็กที่ดิ้นรนจะแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาในอีกภาษาหนึ่ง ข้อความทวีตที่เป็นของฟาติมะห์ จะแตกต่างออกไปไม่เพียงเนื้อหาที่บอกเล่า แต่ยังสะท้อนชัดเจนผ่านวาทะ โวหารต่างๆ
สมาร์ทโฟนกลายเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด นอกเหนือจากคำพูดแล้ว “@อัลอาบิดบานา” ยังแสดงภาพของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกโอกาสที่จะทำได้
มีบางครั้งที่ฟาติมะห์ตัดสินใจ “ไลฟ์ทวีต” รายงานการทำลายบ้านเรือนใกล้เคียงกับที่พักของพวกเขาสดๆ ให้โลกได้รับรู้
เพียงไม่นาน แอคเคาต์ทวิตเตอร์นี้ก็ไม่เพียงเป็นที่รู้จัก ยังทวีจำนวนผู้ติดตามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงสัปดาห์เศษ ยอดผู้ติดตามเพิ่มขึ้นเป็นเรือนพัน จนถึงตอนนี้กลายเป็นหลายแสนคน
รวมทั้งคนดังอย่าง “เจ.เค. โรว์ลิง” ผู้สร้างสรรค์โลกของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ขึ้นมาในบรรณพิภพ ที่จัดส่งอีบุ๊กหนังสือโด่งดังชุดนี้มาให้บานาทั้งชุด เมื่อรู้ว่าเธอชอบอ่านหนังสือ “เพื่อให้ลืมสงคราม”
ครั้งหนึ่งในการให้สัมภาษณ์ผ่านสไกป์ บานาถูกตั้งคำถามว่า ทำไมไม่ไปโรงเรียน?
เธอดึงตัวเองออกมาจากการกระแซะแอบอยู่กับผู้เป็นแม่ ยืดตัวตรง ตอบฉาดฉาน
“เพราะโรงเรียนพังไปแล้ว”
ชีวิต คือความยากลำบาก ไม่เพียงเฉพาะกับฟาติมะห์ แต่ยังหมายรวมถึงบานา ภายใต้การปิดล้อมยาวนาน 5 เดือน ไม่มีผลไม้ ไม่มีผักหลงเหลือให้ซื้อหาที่ตลาด น้ำมันดีเซลสำหรับใช้กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้ายิ่งนับวันยิ่งกลายเป็นของหายาก พลังงานที่หลงเหลืออยู่ให้ใช้กันภายในครอบครัวอย่างจำกัดจำเขี่ย ได้จากแผงโซลาร์เซลล์เท่านั้น
ทำไมถึงไม่ออกจากอเลปโป? ฟาติมะห์บอกว่าเธอตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ต่อไป ส่วนหนึ่งนั้นเพราะคิดว่าสงครามอาจจบลงภายในปี หรือ 2 ปี แต่เหตุผลสำคัญกว่านั้นก็คือ เมืองนี้คือโลกทั้งโลกของเธอ
“คุณทิ้งรากของตัวเองไม่ได้ นี่คือที่ที่พ่อแม่ของเราใช้ชีวิตอยู่ นี่คือบ้านของเรา ประเทศของเรา ลมหายใจของเรา”
แต่ในเวลาเดียวกัน นี่ก็เป็นโลกที่โหดร้ายทารุณสำหรับทุกชีวิต
เมื่อโลกรอบตัวเปลี่ยนแปลง เด็กๆ อย่างบานาก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วยมากอย่างยิ่ง เพราะแทบตลอดทั้งชีวิตของบานารู้จักและคุ้นเคยอยู่แต่กับความขัดแย้ง การสู้รบ สงครามและระเบิด บานากลายเป็นเด็กเก็บตัว หวาดระแวง วอกแวก
ชีวิตในท่ามกลางห่าระเบิด ซึ่งหากมีเวลานอนต่อเนื่องกันนานที่สุดถึง 4 ชั่วโมงได้ถือว่าเป็นคืนมหัศจรรย์ของทุกคน
สำหรับบานา เธออยากออกไปข้างนอก อยากไปโรงเรียน แต่ทำอะไรตามอยากได้น้อยมาก นอกจากนั่งอยู่กับบ้านและวาดรูป ดีที่สุดของบานาคือเล่นกับเด็กๆ ข้างบ้าน
สำหรับฟาติมะห์ สิ่งที่เธออยากได้มากที่สุดในเวลานี้ก็คือ ทำอย่างไรลูกๆ ถึงสามารถใช้ชีวิตได้โดยปกติสุข ตามวิถีสามัญทั่วไปที่ทุกชีวิตสามารถมีได้ อยากไปโรงเรียน เพื่อเล่นสนุกกับเพื่อนๆ ก็สามารถทำได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ฟาติมะห์อยากให้ลูกๆ ของเธอ “รู้สึกเหมือนเด็กๆ” อีกครั้ง
“เราฝันเอาไว้มากมายทั้งสำหรับตัวเองและลูกๆ เราอยากปกป้องพวกเขา อย่างน้อยที่สุดเราก็ใช้ชีวิตมาช่วงหนึ่งแล้ว แต่เด็กๆ พวกนี้ไม่เคยแม้จะได้ใช้ชีวิตธรรมดาทั่วไป”
ในความคิดของเด็กหญิงอายุ 7 ขวบ เท่าที่เธอบอกได้ก็คือ
“เราเป็นเด็ก เรารักชีวิต เราอยากให้โลกได้ยินเราบ้าง”
ตอนบานาสะดุ้งตื่นจากการงีบตอนบ่ายวันหนึ่ง เธอถามแม่ว่า เช้าแล้วหรือ? เพราะแสงจ้าสาดเข้ามาทางหน้าต่างบ้าน แสงที่ไม่ใช่แดดอุ่นยามเช้าตามธรรมชาติ แต่เกิดจากการที่บ้านเรือนข้างๆ กลายเป็นซากปรักหักพังและกำลังลุกไหม้ เพราะพิษของระเบิดฟอสฟอรัส ที่ถูกถล่มลงมาถี่ยิบราวห่าฝนในช่วง 10 วันที่ผ่านมา
เสียงปืนกลดังระรัวเป็นแบ๊กกราวด์อยู่ไม่ห่างออกไปมากมายนัก
ความตายที่เริ่มจากหลักสิบ เพิ่มเป็นร้อย เป็นพัน และทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บกลายเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนเกินขีดความสามารถของโรงพยาบาลที่หลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่ง หลังจากทยอยถูกระเบิดถล่มไปเรื่อยๆ
“ยูนิเซฟ” กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ เริ่มต้นนับการสูญเสียของเด็กอย่างบานาและน้องชายในอเลปโปที่ 100 และไม่สามารถนับเพิ่มต่อไปได้อีก เพราะจำนวนเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นอย่างน่าเศร้า
“สงครามทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นชีวิต” ฟาติมะห์บอก ก่อนที่จะย้ำว่า บางครั้งเธอถึงกับสงสัยตัวเองอยู่ไม่น้อยว่าจะพาลูกๆ อยู่รอดถึงวันพรุ่งนี้ได้หรือเปล่า เมื่อถูกตั้งคำถาม ฟาติมะห์ได้แต่บอกลูกๆ ไปแกนๆ ว่า ทุกอย่างจะดีขึ้นเมื่อ “สันติภาพ” เดินทางมาถึง
“สันติภาพ” กลายเป็นแกนหลักของเนื้อหาเพียงอย่างเดียวของแอคเคาต์ “@อัลอาบิดบานา” ทั้งๆ ที่ไม่เคยพบเห็น ไม่เข้าใจมากมายนัก บานาก็คิดเอาว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่ดี
เธอบอกกับแม่บ่อยๆ ว่า “หนูอยากได้สันติภาพ”!
ทวีตสุดท้ายของ “@อัลอาบิดบานา” มีขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม ตอนที่อเลปโปหลงเหลือผู้คนเพียงไม่กี่พันคน ในขณะที่อีกหลายหมื่นคนที่เหลืออพยพออกไปยังพื้นที่อิทธิพลของกลุ่มกบฏในชนบทซีเรีย
ผู้เขียนข้อความทวีตดังกล่าวคือ ฟาติมะห์ เธอพยายามสื่อโดยตรงถึงรัฐมนตรีต่างประเทศและประธานาธิบดีตุรกี
“ได้โปรด ได้โปรด ได้โปรด ทำให้หยุดยิงได้ผลซะที ช่วยเราออกไปด้วย เหนื่อยเหลือเกินแล้ว”
ผู้ติดตามทวีตของบานาและแม่แตกตื่นกันถ้วนหน้า รวมทั้ง เจ.เค. โรว์ลิ่ง เนื่องจากก่อนหน้านั้นไม่นาน ฟาติมะห์ทวีตว่า “เราแน่ใจว่ากองทัพจะยึดเราได้อีกไม่นาน พบกันใหม่ในวันหน้านะ โลกที่รัก”
นักเขียนดังชาวอังกฤษสอบถามทุกทิศทุกทางผ่านทวิตเตอร์ควานหาบานา ผ่านแฮชแท็ก “แวร์อิสบานา?” (#Whereisbana)
โชคดีที่คำตอบที่ทุกคนได้รับคือความปลอดภัยของบานา ฟาติมะห์ และน้องชาย ทั้งหมดได้รับความช่วยเหลือและในที่สุดก็ถูกนำตัวข้ามแดนมายังตุรกี เพื่อลี้ภัยอยู่ที่นั่น
ระหว่างทาง น้องชายวัย 5 ขวบของบานาที่ได้รับกล้วยใบแรกในรอบหลายปีจากเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ ถามฟาติมะห์ซื่อๆ ใสๆ ว่า เรามาถึงสวรรค์แล้วหรือแม่?
เพราะในนรกที่พวกเขาเคยอยู่ ไม่เคยมีกล้วยให้กิน!