สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานว่า เงินสกุลปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 32 ปีเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐในตลาดเอเชียเมื่อวันที่ 16 มกราคม หลังมีรายงานข่าวว่า นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เตรียมนำประเทศออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ในแบบถอนรากถอนโคนที่เรียกกันว่า “ฮาร์ดเบร็กซิท”
การอ่อนค่าของเงินปอนด์มาพร้อมกับการร่วงลงของตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วเอเชียจากการที่นักลงทุนผิดหวังต่อการแถลงข่าวของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วซึ่งแทบไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายทางเศรษฐกิจเลย
ขณะที่หนังสือพิมพ์อังกฤษฉบับวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมาส่วนหนึ่งรายงานข่าวว่า นายกรัฐมนตรีอังกฤษยินดีที่จะนำอังกฤษออกจากการเป็นสมาชิกทั้งระบบตลาดร่วมของยุโรป สหภาพศุลกากรยุโรป และศาลยุติธรรมยุโรป เพื่อให้ได้อำนาจเต็มในการควบคุมการรับผู้อพยพกลับคืนมา
ข่าวดังกล่าวทำให้เงินปอนด์สเตอร์ลิงร่วงลงมาอยู่ที่ 1 ปอนด์ต่อ 1.1986 ดอลลาร์ เกือบเทียบเท่าการอ่อนค่าที่สุดในระดับเดียวกับการร่วงลงอย่างสายฟ้าแลบ หรือ “แฟลชแครช” เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ที่เงินปอนด์ร่วงลงมาอยู่ที่ 1.1841 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2528 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ตาม ค่าเงินปอนด์ ดีดตัวกลับขึ้นมาอยู่ที่ 1.2040 ดอลลาร์เมื่อเวลาราว 15.51 น.ตามเวลาไทย แต่ยังถือว่าลดลงจากราคาปิดการซื้อขายวันก่อนหน้าอยู่ 1.1 เปอร์เซ็นต์
บรรดานักวิเคราะห์และนักค้าเงินระบุว่า ตลาดแสดงออกถึงปฏิกิริยาตอบรับข่าวในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่รวมถึงรายงานข่าวในซันเดย์ไทม์ส ซึ่งระบุว่า นางเมย์จะส่งสัญญาณถึงการถอนตัวออกจากอียูในแบบเด็ดขาด ในการกล่าวสุนทรพจน์เรื่องยุทธศาสตร์ของรัฐบาลอังกฤษในการออกจากการเป็นสมาชิกอียูในวันที่ 17 มกราคมนี้ ซึ่งนักลงทุนเป็นกังวลว่า การตัดขาดจากอียูแบบถอนรากถอนโคนจะสร้างความเสียหายให้การส่งออกของอังกฤษและเป็นการผลักดันนักลงทุนต่างชาติออกไป