สำนักข่าวเอเอฟพีและไฟแนนเชียลไทม์สรายงานว่า นางเจเน็ต เยลเลน ประธานกองทุนสำรองแห่งรัฐหรือธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) เปิดเผยเมื่อวันที่ 18 มกราคมว่า เฟดใกล้ที่จะบรรลุเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อและการจ้างงานแล้ว แต่การเปลี่ยนแปลงนโยบายใดๆ ก็ตามหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับว่าเศรษฐกิจมีพัฒนาการไปอย่างไร
ในคำกล่าวแสดงความคิดเห็นที่มีขึ้น 2 วันก่อนหน้าการสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ สิ่งที่อาจถือได้ว่าเป็นใจความสำคัญที่สุดของสุนทรพจน์ครั้งนี้คือการที่นางเยลเลนกล่าวย้ำถึง 2 ครั้งว่า เฟดเป็นสถาบันที่เป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายใดและได้รับการออกแบบมาให้ปราศจากแรงกดดันทางการเมือง
“ที่เฟด เราไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดและให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของสาธารณชนเป็นหลักเท่านั้น” นางเยลเลนกล่าวในปาฐกถาที่สมาคมคอมมอนเวลธ์แห่งนครซานฟรานซิสโก ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และว่า “เราพยายามอย่างหนักในการประเมินอย่างรอบคอบและเที่ยงตรง และตัดสินใจอยู่บนหลักการตามข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นกลาง”
ก่อนหน้านี้ นายทรัมป์เคยวิพากษ์วิจารณ์ทั้งเฟดและนางเยลเลนในการดำเนินนโยบายการเงิน ส่งผลให้เกิดความกังวลว่า ฝ่ายบริหารของนายทรัมป์และสภาคองเกรสที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากอาจผลักดันให้มีการออกกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงการปฏิบัติหน้าที่ของเฟดได้
นางเยลเลนระบุว่า การตัดสินใจด้านนโยบายของเฟดดูเหมือนจะได้ผล หากดูว่าอัตราการจ้างงานอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกับการจ้างงานเต็มที่และอัตราเงินเฟ้อขยับเข้าใกล้เป้าหมาย 2 เปอร์เซ็นต์ที่วางไว้ โดยอัตราว่างงานอยู่ที่ระดับน้อยกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ และเศรษฐกิจสามารถสร้างงานเพิ่มได้ 15.5 ล้านตำแหน่ง แม้ว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจะเริ่มเพิ่มสูงขึ้นแล้วก็ตาม
อย่างไรก็ตาม นางเยลเลนเตือนด้วยว่า สหรัฐเสี่ยงที่จะเผชิญกับความยากลำบากอย่างไม่คาดคิด หากชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปยาวนานเกินไป
ข่าวระบุว่า เงินดอลลาร์สหรัฐในเอเชียแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่นๆ จากการที่นักลงทุนตีความว่าคำกล่าวของนางเยลเลนเป็นการบอกใบ้ว่า เฟดจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามแผนที่วางไว้ในปีนี้
