ที่มา | นสพ. มติชนรายวัน |
---|---|
เผยแพร่ |
สถานทูตไทยในบรัสเซลส์ กับการรับมือม.ด้านสวล.ของEU
หมายเหตุ “มติชน” น.ส.วารุณี ปั้นกระจ่าง อุปทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ เล่าถึงการดำเนินการของสถานเอกอัครราชทูตในเบลเยียม และคณะผู้แทนไทยประจำสหภาพยุโรป (อียู) ในการเตรียมรับมือมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรป
๐มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรปและผลกระทบต่อไทย
อียูดำเนินนโยบาย European Green Deal โดยวางบทบาทตนเองในฐานะผู้นำการกำหนดมาตรฐานสิ่งแวดล้อมของโลกและการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งก็สอดคล้องกับเทรนด์ของโลกปัจจุบันและเป็นนโยบายสำคัญของประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมทั้งไทย แต่การที่อียูออกกฎหมายที่วางมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมด้วยมาตรฐานระดับสูง จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไปยังตลาดอียู โดยเฉพาะต่อผู้ประกอบการและผู้ส่งออกของประเทศกำลังพัฒนารวมทั้งไทยที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายย่อย เนื่องจากกำหนดเงื่อนไขการส่งออกสินค้าไปยังตลาดอียูที่เพิ่มขั้นตอน ต้องใช้เทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญ ซึ่งเพิ่มภาระและต้นทุนแก่ผู้ส่งออกโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย หากไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ไม่สามารถแบกรับภาระและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ไม่สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ ต้องออกจากห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และการค้าระหว่างประเทศไป ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในมิติของการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบบเศรษฐกิจซึ่งเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งของการพัฒนาอย่างยั่งยืนในกรอบสหประชาชาติเช่นกัน
๐ตัวอย่างมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของอียู
กฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (EU Regulation on Deforestation-free Products – EUDR) กำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้า 7 ประเภทซึ่งรวมถึงยางพาราและน้ำมันปาล์มเข้าตลาดอียู จะต้องยื่นหลักฐานที่แสดงว่ากระบวนการผลิตไม่มีการตัดไม้ทำลายป่า ประกอบด้วย Due Diligence Statement ข้อมูลพิกัดทางภูมิศาสตร์และข้อมูลหลักฐานประเภทที่ดิน เริ่มตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2567 (ค.ศ. 2024) เป็นต้นไป จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรไทยโดยเฉพาะเกษตรกรยางพารากว่า 1.7 ล้านครัวเรือน และส่งผลกระทบต่อการส่งออกไปยังอียู เฉพาะยางพารามูลค่า 6 หมื่นล้านบาท ขณะที่หากรวมสินค้าทั้ง 7 ประเภทในปี 2564 อยู่ที่ 6.2 หมื่นล้านบาท โดยสินค้าอีก 5 ประเภท ได้แก่ เนื้อวัว ไม้ กาแฟ โกโก้ ถั่วเหลือง ซึ่งรวมถึงสินค้าปลายน้ำบางรายการ
กฎหมายว่าด้วยกลไกปรับค่าคาร์บอนที่พรมแดน (EU Regulation on Carbon Border Adjustment Mechanism – CBAM) กำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้าที่มีการปล่อยคาร์บอนปริมาณสูงในกระบวนการผลิต 7 ประเภท คือซีเมนต์ ไฟฟ้า ไฮโดรเจน ปุ๋ย อะลูมิเนียม เหล็ก/เหล็กกล้า และสินค้าปลายน้ำบางรายการ ที่เข้าตลาดอียู ต้องยื่นรายงานปริมาณการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต ในกรณีที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยต้องจ่ายค่าปรับ ซึ่งเพิ่มภาระการคำนวนปริมาณคาร์บอน การจัดทำรายงาน การตรวจรับรองรายงาน โดยให้เริ่มรายงานตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 แต่จะเริ่มค่าปรับและการซื้อใบรับรองตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 (ค.ศ. 2026) ส่งผลกระทบการส่งออกสินค้า 7 ประเภทข้างต้นของไทยไปยังอียูซึ่งมีมูลค่ารวมในปี 2565 อยู่ที่ 14,712 ล้านบาท
กฎหมายห้ามจำหน่ายรถยนต์เชื้อเพลิงสันดาปในอียูตั้งแต่ปี ค.ศ. 2035 เป็นต้นไป หรืออีก 11 ปี จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์เชื้อเพลิงสันดาปและอุตสาหกรรมยางรถยนต์ของไทย และอาจต้องปรับเป็นการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าและยางรถยนต์ที่มีคุณสมบัติทนทานมากขึ้นเพื่อรองรับระบบเร่งเครื่องรถยนต์ไฟฟ้า
ร่างกฎหมาย Corporate Sustainability Due Diligence เมื่อมีผลบังคับใช้ จะกำหนดให้บริษัทสัญชาติอียู ที่มีลูกจ้าง 500 คนขึ้นไปและมีผลประกอบการสุทธิทั่วโลกรวม 150 ล้านยูโรขึ้นไป และบริษัทต่างชาติที่มีรายได้ในอียู 300 ล้านยูโรขึ้นไป ต้องตรวจสอบความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานของตนว่าไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน สิทธิแรงงานและสิ่งแวดล้อม โดยให้เริ่มตรวจสอบหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว 3 ปี จะส่งผลให้ซัปพลายเออร์ไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทข้างต้นต้องปฏิบัติตามกระบวนการตรวจสอบนี้ด้วย
ร่างกฎหมาย Packaging and Packaging Waste เมื่อมีผลบังคับใช้ จะกำหนดให้การผลิตสินค้าต้องใช้วัสดุรีไซเคิลในปริมาณที่กำหนด บรรจุภัณฑ์และฉลากของสินค้าบางรายการต้องใช้วัสดุย่อยสลายได้ ต้องติดฉลากหรือ QR Code ที่ระบุข้อมูลวัสดุและวิธีนำกลับไปใช้ใหม่ (reuse) หรือ recycle
ร่างกฎหมาย Framework for sustainable Food System เมื่อมีผลบังคับใช้ จะกำหนดมาตรฐานด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร เพิ่มเติมจากมาตรฐานด้านความปลอดภัยของอาหาร เช่น ไม่มีการละเมิดสิทธิแรงงาน สวัสดิภาพสัตว์ สิ่งแวดล้อม สภาพอากาศ ดิน น้ำ ย่อมส่งผลให้ไทยในฐานะผู้ส่งออกอาหารหลักของโลกต้องปรับตัวและปฏิบัติตามกระบวนการตรวจสอบนี้ด้วย
๐การรับมือของไทยและการดำเนินการของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์
นอกเหนือจากการดำเนินการของไทยในการพัฒนายกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมของไทยเองในภาพรวม และผู้ประกอบการไทยในห่วงโซ่อุปทานการค้าระหว่างประเทศติดตามและปรับตัวเพื่อยกระดับมาตรฐานกระบวนการผลิตให้ก้าวทันมาตรฐานระหว่างประเทศและมาตรฐานของอียู เพื่อสามารถแข่งขันในตลาดทั้งสองแล้ว สถานทูตตระหนักดีถึงความแตกต่างของระดับการพัฒนาที่ส่งผลกระทบต่อความพร้อมของไทยในการปฏิบัติตามมาตรฐานระดับสูงของอียู จึงได้ดำเนินการต่างๆ ร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนทั้งของฝ่ายไทยและฝ่ายสหภาพยุโรปในการเตรียมความพร้อมรับมือทั้งในหลายด้าน ประกอบด้วย
1.การติดตามความคืบหน้าของการออกมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของอียู ที่อาจส่งผลกระทบต่อไทย 2.การสร้างความตระหนักรู้และทำงานร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของไทย ทั้งผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศ และทางเว็บไซต์รวมทั้งการดำเนินโครงการความร่วมมือของสถานทูตเอง 3.ประสานงานใกล้ชิดกับหน่วยงานเจ้าของเรื่องของอียูเพื่อติดตามความคืบหน้าและขอความกระจ่างในประเด็นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแจ้งฝ่ายอียูทราบถึงผลกระทบต่อไทย ขณะเดียวกันให้ฝ่ายอียูทราบด้วยว่าฝ่ายไทยเองมีการพัฒนายกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมในเรื่องนั้นๆ อย่างไร ที่จะสามารถหาทางออกร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ ให้อียูเห็นพัฒนาการของไทย และระหว่างที่ไทยทำอยู่นี้ขอให้อียูเข้าใจถึงความแตกต่างด้านความพร้อมจากระดับการพัฒนาที่ไม่เท่ากัน หากอียูเห็นความตั้งใจที่ไทยจะพัฒนาไปสู่เป้าหมายเดียวกันและให้ความยืดหยุ่นก็จะเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการของไทยอยู่ได้และทำได้ หากอียูมีความตั้งใจที่จะเห็นโลกนี้ไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวได้ก็ควรสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาให้สามารถทำได้ด้วย
4.แสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของอียู อาทิ ผู้เชี่ยวชาญ สถาบันวิชาการ ภาคเอกชนของอียูเองซึ่งได้รับผลกระทบจากมาตรฐานระดับสูงเช่นกัน การเสริมสร้างขีดความสามารถ ฯลฯ 5. ร่วมมือกับมิตรประเทศกำลังพัฒนาด้วยกันเพื่อให้ความเห็นแก่ฝ่ายอียูใช้ประกอบการดำเนินการภายใต้มาตรการที่เกี่ยวข้อง และ 6.ในโอกาสต่างๆ ข้างต้นนี้ก็ผลักดันประเด็นความยั่งยืนในมุมมองของประเทศกำลังพัฒนาไปยังอียูด้วยว่า อียูพูดเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนในบริบทของสิ่งแวดล้อมกับแรงงาน ซึ่งไทยเห็นด้วยกับทั้งสองประเด็น แต่การพัฒนาอย่างยั่งยืนก็ยังรวมถึงความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคมให้พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจด้วย ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญสำหรับประเทศกำลังพัฒนา ทำอย่างไรที่จะให้ผู้ประกอบการรายย่อย สามารถอยู่ได้ในซัพพลายเชนของโลก สามารถมีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจการค้า ไม่ล้มหายตายจากไปเพราะไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานที่สูง และการลดความยากจนก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืนในกรอบสหประชาชาติเช่นกัน พยายามสร้างความสมดุลระหว่างมุมมองของทั้งสองฝ่าย ซึ่งถ้าอียูสนับสนุนได้ก็เท่ากับช่วยส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน
การดำเนินการข้างต้นเป็นไปตามแผนแม่บทประเด็นการต่างประเทศของไทยภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ – แผน 5S ปรับตัวและพัฒนาไปสู่มาตรฐานสากล (standard) เพื่อความมั่นคง (security) ความยั่งยืน (sustainability) และเพื่อให้เราได้รับการยอมรับมีสถานะและเกียรติภูมิ (status) ผ่านการประสานและทำงานร่วมกัน (synergy) กับทุกแนวร่วมที่เรามีอยู่ ไม่ว่าภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ไม่ว่าฝ่ายไทย ฝ่ายอียู รวมถึงมิตรประเทศอื่นๆ ไปพร้อมกัน สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่มุ่งให้เกิดประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมไปถึงประชาชนอย่างแท้จริง
ตัวอย่างเช่นในเรื่อง EUDR สถานทูตได้หารือกับคณะกรรมาธิการยุโรปด้านสิ่งแวดล้อมแสดงข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับภาระในเรื่องการยื่นข้อมูลพิกัดทางภูมิศาสตร์และข้อมูลหลักฐานประเภทที่ดินที่จะเกิดแก่ผู้ประกอบการไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อย ขอให้ implementing guideline ที่กำลังจะออกมามีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะปฏิบัติได้โดยไม่สร้างภาระเกินจำเป็น ได้หารือกับภาคเอกชนของอียูได้แก่สมาคมผู้ผลิตยางรถยนต์และยางพารายุโรป (ETRMA) ซึ่งได้รับผลกระทบจากกฎหมายนี้เช่นกัน นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตไทยได้ร่วมกับเอกอัครราชทูตจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาประจำสหภาพยุโรปรวม 17 ประเทศ ลงนามหนังสือถึงอียูแจ้งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นแก่ผู้ประกอบการรายย่อยในประเทศกำลังพัฒนา เรียกร้องให้ฝ่ายอียูแสดงความยืดหยุ่นโดยคำนึงถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนและหลักการ Common but Differentiated Responsibilities ด้วย
หรืออีกตัวอย่างหนึ่งในเรื่อง CBAM สถานทูตได้หารือกับคณะกรรมาธิการยุโรปด้านภาษี แสดงข้อห่วงกังวลและขอรับการสนับสนุนในการเตรียมความพร้อมแก่ผู้ประกอบการไทย ได้จัดการหารือออนไลน์ระหว่างหน่วยงานไทย (กระทรวงทรัพยากรฯ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) กรมสรรพสามิต) และอียู (อดีต Director-General ของคณะกรรมาธิการยุโรปด้านสภาพอากาศ คณะกรรมาธิการยุโรปด้านภาษี) เป็นการนำคนที่ทำเรื่องเดียวกันของไทยกับอียูมาพบกัน ช่วยให้ฝ่ายไทยได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบของอียู ขณะเดียวกันช่วยให้ฝ่ายอียูทราบว่า อบก. มีระบบ ETS (Emissions Trading System) ของตนเองมาตั้งแต่ปี 2553 แล้ว ได้หารือแลกเปลี่ยนตั้งประเด็นความต้องการของไทยที่จะให้อียูรับรองการตรวจสอบของฝ่ายไทย (mutual recognition) โดยให้อียูมาตรวจสอบมาตรฐานของไทยและรับรองว่าถ้าสินค้าไทยผ่านการตรวจสอบโดย อบก.แล้วสามารถนำไปใช้ที่อียูได้เลยหรือไม่ ได้แจ้งหน่วยงานไทยเกี่ยวกับการเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่าง implementing regulation ของ CBAM
นอกจากนี้ในการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลกปี 2566 อบก.ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาของไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และมาตรการ CBAM ของอียูว่า ไทยมีความร่วมมือกับเยอรมันและสวิตเซอร์แลนด์ส่วนหนึ่ง และประสงค์ให้มีการลงทุนในไทยด้าน carbon capture & storage แต่ต้องใช้เงินลงทุนมากถึง 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งดิฉันได้แจ้งให้ทราบว่าฝ่ายอียูมีโครงการความร่วมมือกับต่างประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์ Global Gateway ฝ่ายไทยอาจพิจารณามีข้อเสนอโครงการความร่วมมือกับอียูในเรื่องนี้ได้
๐การเจรจา FTA ไทย-อียูการหาทางออกในประเด็นดังกล่าว
ท้ายนี้ สถานทูตเห็นว่า มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมข้างต้นของอียู เป็นมาตรการภายในของอียูเองที่กำหนดขึ้นฝ่ายเดียวโดยกระบวนการนิติบัญญัติของอียู แต่ส่งผลกระทบต่อการค้าไทย-อียู ในโอกาสที่ขณะนี้ฝ่ายไทยอยู่ระหว่างการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับอียู ซึ่งเป็นการจัดทำความตกลงสองฝ่ายที่ไทยสามารถมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกับอียูในการกำหนดกฎเกณฑ์ทางการค้าขึ้นใช้บังคับระหว่างกัน ฝ่ายไทยจึงน่าจะสามารถใช้การเจรจา FTA เป็นเครื่องมือหนึ่งในการแก้ไขปัญหาการค้าข้างต้นได้ไม่มากก็น้อย