จับตาลุกลาม! ไบเดนถูกบีบเปิดศึกอิหร่าน เคอร์บีชี้ไม่ต้องการทำสงคราม แต่จะทำในสิ่งที่ต้องทำ
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ เผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนัก ในการตอบโต้อิหร่านที่ใช้โดรนโจมตีฐานทัพสหรัฐในจอร์แดน เป็นเหตุให้มีทหารสหรัฐเสียชีวิต 3 ราย และได้รับบาดเจ็บอีก 35 นาย ถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับพรรคเดโมแครตในปีแห่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
ทำเนียบขาวระบุเมื่อวันที่ 29 มกราคมว่า ไบเดนกำลังชั่งน้ำหนักทางเลือกของเขา ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าว ที่เป็นการเสียชีวิตของทหารสหรัฐครั้งแรก นับตั้งแต่สงครามอิสราเอล-ฮามาสเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 7 ตุลาคมปีก่อน ขณะที่อิหร่านปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเหตุการณ์ดังกล่าว
ไบเดนกล่าวก่อนหน้านี้ว่า ไม่ต้องสงสัยเลย เราจะต้องลากตัวผู้ที่เกี่ยวข้องมารับผิด และจะทำในหนทางที่เราเลือกเอง ขณะที่นายลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ กล่าวที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐว่า ประธานาธิบดีและเขาจะไม่ทนต่อการโจมตีกองกำลังสหรัฐ และเราจะดำเนินการทั้งหมดที่จำเป็นเพื่อปกป้องสหรัฐและกองทัพของเรา
ด้านนายจอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า สหรัฐไม่ต้องการขยายการทำสงครามกับอิหร่านหรือทำให้สงครามในภูมิภาคขยายวงกว้างขึ้น แต่เราจะทำในสิ่งที่เราต้องทำ
เคอร์บียังปฏิเสธอย่างชัดเจนว่า การตัดสินใจใดๆ ของไบเดนไม่ได้รับอิทธิพลจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีนี้ โดยย้ำว่า ไบเดนไม่ได้คิดคำนวณทางการเมืองใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเลือกตั้งหรือปฏิทินการเลือกตั้ง ขณะที่เขากำลังทำงานเพื่อปกป้องทหารสหรัฐทั้งที่อยู่บนบกและในทะเล การพูดถึงเรื่องนี้ไม่ว่าจะในแง่มุมใดถือเป็นเรื่องน่ารังเกียจ
แม้จะมีความพยายามที่จะปฏิเสธความเชื่อมโยงของการตัดสินใจตอบสนองในเหตุโจมตีที่เกิดขึ้นกับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือฝ่ายบริหารของไบเดนตกอยู่ภายใต้แรงกดดันต่อการตอบสนองต่อเหตุโจมตีดังกล่าว โดยไม่ก่อให้เกิดสงครามในวงกว้างขึ้น และยังต้องพยายามไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความพยายามที่จะหาทางปล่อยตัวประกันมากกว่า 100 คนที่ยังคงถูกจับกุมตัวในฉนวนกาซาอีกด้วย
เชค มุฮัมมัด บิน อับดุรเราะฮ์มาน บิน ญาสซิม อาล ษานี นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัฐกาตาร์ กล่าวกับสถาบันวิจัยในวอชิงตันว่า เขาหวังว่าการตอบโต้กลับของสหรัฐจะไม่บั่นทอนความคืบหน้าของข้อตกลงปล่อยตัวประกันฉบับใหม่ ที่ยังคงอยู่ระหว่างการหารือในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ผู้นำกาตาร์ย้ำว่า การตอบโต้กลับของสหรัฐจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในภูมิภาคอย่างแน่นอน และเราหวังว่าสิ่งต่างๆ จะอยู่ในระดับที่ยังสามารถควบคุมได้
ทั้งนี้ ผู้นำกาตาร์ได้พบกับผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐ (ซีไอเอ) หัวหน้ามอสซาด หน่วยข่าวกรองอิสราเอล และหัวหน้าหน่วยข่าวกรองอียิปต์เมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และมีการหารือที่อิสราเอล กาตาร์ และสหรัฐ ระบุว่าเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ แม้จะยังคงเหลือช่องว่างสำคัญอยู่ก็ตาม
นายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า การเจรจาในกรุงปารีสเพิ่มความหวังว่า กระบวนการเจรจาที่กาตาร์เป็นคนกลางจะกลับมาดำเนินการต่อไปได้ โดยกรอบการทำงานสำหรับข้อตกลงฉบับที่ 2 ซึ่งพัฒนาขึ้นในกรุงปารีส เป็นข้อตกลงที่แข็งแกร่งและน่าสนใจ ซึ่งทำให้เกิดความหวังว่าเราจะสามารถกลับเข้าสู่กระบวนการนี้ได้ แต่ฮามาสจะต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง
ทั้งนี้ กระบวนการเจรจาดังกล่าวนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิง 1 สัปดาห์ในเดือนพฤศจิกายน ที่กลุ่มฮามาสได้ปล่อยตัวประกันออกมาราว 100 คน แต่บลิงเกนปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดของข้อเสนอที่มีการหารือกัน
ฮามาสย้ำว่า อิสราเอลจะต้องยุติการโจมตีฉนวนกาซา และถอนกำลังออกไปก่อนที่จะมีการปล่อยตัวประกันเพิ่มเติม ขณะที่อิสราเอลก็ประกาศว่าจะสู้ต่อไปจนกว่าจะกำจัดฮามาสให้สิ้นซาก
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ฮามาสได้ยิงจรวดถล่มเมืองต่างๆ ของอิสราเอลเป็นครั้แรกในรอบหลายสัปดาห์ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าฮามาสยังมีศักยภาพในการยิงจรวดเพื่อโจมตีอิสราเอลได้ แม้ว่าสงครามจะยืดเยื้อมาเกือบ 4 เดือนแล้วก็ตาม