คอลัมน์ไฮไลต์โลก : ทำเนียบมาลากันยังสะท้าน สองตระกูลการเมืองดังเปิดศึกวิวาทะ

แฟ้มภาพ ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์(ขวา) และ รองประธานาธิบดีซารา ดูแตร์เต แห่งฟิลิปปินส์ (รอยเตอร์)

คอลัมน์ไฮไลต์โลก: ทำเนียบมาลากันยังสะท้าน สองตระกูลการเมืองดังเปิดศึกวิวาทะ

เมื่อเอ่ยถึงนามสกุล “มาร์กอส” และ “ดูแตร์เต” ก็เป็นที่รับรู้ว่าทั้งสองต่างเป็นตระกูลการเมืองดังแห่งแดนตากาล็อก

การจับมือเป็นคู่หูกันระหว่าง เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ กับ ซารา ดูแตร์เต ในการลงสนามแข่งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานฟิลิปปินส์ในปี 2022 จนคว้าเก้าอี้ไปได้ทั้งคู่นั้น ถือว่าสร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับคอการเมืองฟิลิปปินส์อยู่ไม่น้อย ที่หลายคนยังบอก “เชื่อขนมกินได้เลย” ว่าการฮันนีมูนแบบหวานชื่นในการทำงานของประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีคู่นี้ คงเป็นได้ไม่นาน ซึ่งคำทำนายนั้นดูใกล้ความจริงเข้าไปทุกที เมื่อมีการเปิดศึกวิวาทะระหว่างทั้งสองฝ่ายขึ้น

เอาที่เป็นประเด็นล่าสุดก็เมื่อ เซบาสเตียน ดูแตร์เต นายกเทศมนตรีเมืองดาเวา ผู้เป็นน้องชายของรองประธานาธิบดีซารา ดูแตร์เต ซึ่งเป็นบุตรสาวของ โรดริโก ดูแตร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ผู้มีนโยบายปราบปรามยาเสพติดรุนแรง เป็นลายเซ็นประจำตัวนั้น ได้ลุกขึ้นมาไล่ให้ ประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์ ลาออกจากตำแหน่งไป โดยกล่าวหาว่านโยบายหลายอย่างของผู้นำฟิลิปปินส์รายนี้ เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง เช่น นโยบายต่างประเทศที่ฝักใฝ่สหรัฐอเมริกา ซึ่งผลักให้ชีวิตของชาวฟิลิปปินส์ผู้บริสุทธิ์ตกอยู่ในอันตราย

Advertisement

ร้ายไปกว่านั้น ดูแตร์เตผู้พ่อ ยังเรียก มาร์กอส จูเนียร์ ว่าเป็น “ขี้ยา” ในระหว่างที่เขาออกมารณรงค์ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีซาราร่วมอยู่ในวงปราศรัยด้วย ก่อนดูแตร์เตผู้พ่อจะเจอมาร์กอส สวนกลับด้วยการกล่าวหาว่าเขาใช้ “เฟนทานิล” ยาบรรเทาปวดในกลุ่มโอปิออยด์ ที่ถูกควบคุมเป็นยาเสพติดให้โทษ โดยก่อนหน้านั้นดูแตร์เตเคยออกมายอมรับว่า เขาใช้ยาเฟนทานิลเพื่อระงับอาการปวดของตนเอง

จะว่าไปแล้วหากไม่นับการเปิดศึกน้ำลายครั้งนี้ สัญญาณความขัดแย้งระหว่างสองตระกูล ก็จับสังเกตได้ไม่ยากตั้งแต่ต้น เพราะการดำเนินนโยบายของ มาร์กอส จูเนียร์ นับจากขึ้นนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดี เรียกได้ว่าเป็นการ “ยูเทิร์น” วกกลับ แบบกลับหัวกลับหาง จากสมัยรัฐบาลโรดริโก ดูแตร์เต เป็นอย่างมาก เช่น การดำเนินนโยบายต่างประเทศที่หันเข้าหาสหรัฐของมาร์กอส ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนจุดยืนชนิดพลิกฝ่ามือจากสมัยดูแตร์เตที่ยึดนโยบายพิงหลังจีน, การผลักดันการฟื้นการเจรจาสันติภาพกับกบฎคอมมิวนิสต์ในประเทศของมาร์กอส แต่ในสมัยดูแตร์เตได้ล้มการเจรจาดังกล่าวไป

โดยที่ ซารา ดูแตร์เต ยังเรียกขานการจะเจรจานั้นว่าเป็นความตกลงกับปีศาจ หรือ การที่มาร์กอสเปิดเผยเมื่อปลายปีก่อนว่ากำลังพิจารณาจะนำฟิลิปปินส์กลับเข้าเป็นภาคีสมาชิกของศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก อีกครั้ง หลังจากที่ฟิลิปปินส์ได้ถอนตัวไปในปี 2018 สมัยรัฐบาลดูแตร์เต รวมถึงการผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญของมาร์กอส ที่อ้างว่าเพื่อมุ่งผ่อนปรนกฎระเบียบทางธุรกิจในการดึงดูดนักลงทุนเข้ามา แต่ดูแตร์เตมองว่าเป็นเพียงข้ออ้างของมาร์กอส ที่หวังจะอยู่ในอำนาจประธานาธิบดีต่อไปก็เท่านั้น เพราะรัฐธรรมนุญฟิลิปปินส์ฉบับปัจจุบัน กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไว้แค่ 1 สมัย มีวาระ 6 ปีเท่านั้น

Advertisement

ถึงแม้เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา มาร์กอสจะขยับออกมาดับบรรยากาศตึงเครียด โดยยืนยันว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับรองประธานาธิบดีซารายังเหมือนเดิม ยังทำงานเป็นทีมเดียวกัน และ ซารา ยังคงนั่งควบรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง

แต่ในมุมมองของนักวิเคราะห์อย่าง จีน เอ็นซินาส-ฟรังโก นักรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์นั้น มองเห็นถึงความไม่ลงรอยที่เด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ของสองตระกูลการเมืองดังนี้ โดยชี้ว่า นี่อาจเป็นจุดแตกร้าวที่ไม่อาจย้อนกลับได้!!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image