สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายเอ็นริเก เปนญา นีเอโต ประธานาธิบดีเม็กซิโก กล่าวในการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ไปทั่วประเทศเมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา เรียกร้องความเคารพนับถือที่เม็กซิโกควรจะได้รับในฐานะชาติที่มีอำนาจอธิปไตยโดยสมบูรณ์ หลังก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ลงนามในคำสั่งผู้บริหารให้สร้างกำแพงกั้นบริเวณชายแดนสหรัฐที่ติดกับเม็กซิโก
“ผมเสียใจและขอประณามการตัดสินใจของสหรัฐที่จะเดินหน้าสร้างกำแพงกั้น ซึ่งเป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่กำแพงนี้แบ่งแยกเรา แทนที่จะรวมพวกเราให้เป็นหนึ่งเดียว” นายเปนญา นีเอโตกล่าว และว่า “ผมได้พูดมาแล้วหลายครั้ง และจะขอพูดอีกครั้งว่า เม็กซิโกจะไม่จ่ายเงินเพื่อสร้างกำแพงไหนทั้งสิ้น”
นอกจากนี้ นายเปนญา นีเอโต กำลังประเมินว่า จะยกเลิกการพบปะกับนายทรัมป์ที่กรุงวอชิงตันของสหรัฐในวันที่ 31 มกราคม โดยสมาชิกสภานิติบัญญัติของเม็กซิโกส่วนหนึ่งกดดันนายเปนญา นีเอโต ให้ล้มเลิกการหารือดังกล่าว หลังจากนายทรัมป์เดินหน้าทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ตอนหาเสียง
นายเปนญา นีเอโต เปิดเผยว่า จะรอรายงานการประชุมหารือกันจากผู้แทนระดับสูงของเม็กซิโกในกรุงวอชิงตันสัปดาห์นี้ รวมถึงจะปรึกษากับบรรดาผู้ว่าการรัฐและสมาชิกสภานิติบัญญัติก่อนตัดสินใจว่า จะตอบสนองในเรื่องนี้อย่างไรต่อ
แต่นายหลุยส์ วีเดการาย รัฐมนตรีต่างประเทศเม็กซิโก ซึ่งอยู่ที่กรุงวอชิงตันของสหรัฐในขณะนี้ เปิดเผยกับสถานีโทรทัศน์เตเลวีซาว่า นายเปนญา นีเอโต กำลังตัดสินใจว่าจะเดินทางมายังกรุงวอชิงตันหรือไม่ แต่ตอนนี้ต้องถือว่า การพบหารือกับนายทรัมป์จะยังคงมีขึ้นเช่นเดิม
การหยุดยั้งผู้อพยพที่หลั่งไหลเข้ามานับเป็นประเด็นสำคัญในการหาเสียงของนายทรัมป์ ซึ่งนโยบายที่เขาได้ประกาศไว้คือการสร้างกำแพงยาว 2,000 กิโลเมตร กั้นตลอดแนวชายแดนระหว่างสหรัฐกับเม็กซิโก
มีบางพื้นที่ที่มีการสร้างรั้วลวดหนามกั้นไว้แล้ว แต่นายทรัมป์ต้องการสร้างกำแพงเพื่อสกัดกั้นผู้อพยพผิดกฎหมายจากละตินอเมริกา
ผลสำรวจของมอร์นิงคอนซัลท์ร่วมกับโพลิติโกที่เผยแพร่วันเดียวกันระบุว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 47 เปอร์เซ็นต์เห็นด้วยกับการสร้างกำแพง ขณะที่ 45 เปอร์เซ็นต์ไม่เห็นด้วย
ผู้เชี่ยวชาญส่วนหนึ่งกังขาว่า กำแพงจะหยุดยั้งการเข้าเมืองผิดกฎหมายได้จริงหรือไม่ และคุ้มค่ากับเงินหลายพันล้านดอลลาร์ที่ต้องใช้หรือไม่ โดยนายทรัมป์ต้องพยายามระบุแหล่งที่มาของงบประมาณที่จะนำมาใช้ในโครงการนี้ เนื่องจากสภาคองเกรสจะต้องหาเงินเพิ่มอีกหลายพันล้านดอลลาร์หากต้องการสร้างกำแพงให้เสร็จสมบูรณ์
