คอลัมน์ โกลบอลโฟกัส: โลกทัศน์ของ ‘สตีฟ แบนนอน’

Jonathan Ernst / REUTERS

สตีเฟน เควิน “สตีฟ” แบนนอน พื้นเพเป็นคนนอร์ฟอล์ก ในรัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา เขาเกิดในครอบครัวคนใช้แรงงานเชื้อสายไอริช ที่เคร่งศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก มาร์ติน แบนนอน ผู้เป็นพ่อเป็นพนักงานวางสายโทรศัพท์อยู่ในระดับท้องถิ่น

ที่น่าสนใจก็คือ ครอบครัวแบนนอนนิยมเดโมแครตและชื่นชอบ จอห์น เอฟ. เคนเนดี!

แบนนอนเกิดเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 1953 ปัจจุบันอายุ 63 ปี สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีด้านการวางผังเมืองจากเวอร์จิเนียเทค ในปี 1976 ต่อด้วยปริญญาโทด้านความมั่นคงแห่งชาติจากสำนักการต่างประเทศของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ในปี 1985 และปริญญาโทบริหารธุรกิจเกียรตินิยมจากฮาร์วาร์ด บิสสิเนส สคูลในเวลาต่อมา

ปลายทศวรรษ 1970 ต่อเนื่องจนถึงต้นทศวรรษ 1980 เขารับราชการทหาร เป็นทหารเรือต่อเนื่องอยู่นาน 7 ปี เริ่มตั้งแต่เป็นนายทหารในหน่วยปฏิบัติการผิวน้ำ ประจำเรือพิฆาต พอล เอฟ. ฟอสเตอร์ ในสังกัดกองเรือภาคพื้นแปซิฟิก ก่อนจะลาออกในขณะดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยพิเศษประจำสำนักงานผู้บังคับการกองเรือยุทธการ ในกระทรวงกลาโหม

Advertisement

ผละจากอาชีพทหาร แบนนอนกระโจนเข้าสู่แวดวงธุรกิจ โดยเข้าทำงานที่โกลด์แมนแซคส์ วาณิชธนกิจที่รู้จักกันทั่วโลก แล้วลาออกมาก่อตั้ง แบนนอน แอนด์ โค. บริษัทบริการด้านการเงินที่เชี่ยวชาญในแวดวงบันเทิงและสื่อ ที่ส่งผลให้เขากลายเป็นโปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดราว 18 เรื่อง รวมทั้ง “ดิ อินเดียน รันเนอร์” (ฌอน เพนน์-1992) และ “ไททัส” (จูลี เทย์มอร์-1999)

การทำงานในฮอลลีวู้ดนี่เองที่ทำให้แบนนอนได้ทำความรู้จักมักคุ้นกับ ปีเตอร์ ชไวเซอร์ และ แอนดรูว์ บรีทบาร์ท นำไปสู่การร่วมกันก่อตั้งองค์กรสื่อขวาสุดโต่งอย่าง “บรีทบาร์ท นิวส์” ขึ้นในเวลาต่อมา

ระหว่างปี 2004-2007 แบนนอนจับงานภาพยนตร์สารคดีหลายเรื่อง รวมทั้ง “ไฟร์ ฟรอม เดอะ ฮาร์ทแลนด์: ดิ อเวคเคนนิง ออฟ เดอะ คอนเซอร์เวทีฟ วูแมน”,

Advertisement

“ดิ อันดีฟีทเตด” (ว่าด้วย ซาราห์ เพลิน) รวมทั้งเป็นผู้ร่างเค้าโครงภาพยนตร์สารคดีความยาว 8 หน้ากระดาษที่ชื่อ “เดสทรอยอิง เดอะ เกรท ซาตาน: เดอะ ไรส์ ออฟ อิสลามิค ฟาสซิสม์ อิน อเมริกา” ที่ยังไม่ได้สร้าง

เมื่อ แอนดรูว์ บรีทบาร์ท เสียชีวิตในปี 2012 แบนนอนที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นกรรมการบริหาร เข้าดำรงตำแหน่งประธานบริหารทั้งบริษัทและเว็บไซต์ ซึ่งนิตยสารไทม์ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า เป็นตัวการหลักในการ “อัดฉีดเนื้อหาเหยียดผิว, เหยียดเพศ, โรคหวาดระแวงอิสลาม และต่อต้านยิว ให้เข้าไปอยู่ในสายเลือดของพวก “ขวาทางเลือก (อัลเทอเนทีฟ ไรท์)”

ปี 2012 แบนนอนประกาศว่า บรีทบาร์ทคือ “แพลตฟอร์ม” สำหรับ “อัลท์-ไรท์” ทั้งผอง ปี 2016 เขาบอกอย่างภาคภูมิว่า “เราคิดว่าเราคือผู้ทำให้การต่อต้านความเป็นสถาบันแพร่ระบาด โดยเฉพาะการต่อต้านชนชั้นการเมืองถาวรเหล่านั้น”

อัศวิน สืบแสง แห่งเดลีบีสต์ บอกว่า ความฝันสูงสุดของ สตีฟ เค. แบนนอน คือการก้าวขึ้นมาเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในโลก

บางที โดนัลด์ ทรัมป์ อาจทำให้ความฝันของเขากลายเป็นจริงขึ้นมาแล้ว!

เดลีบีสต์ สรุปตัวตนของแบนนอนจากคำบอกเล่าของคนที่ “คุ้นเคยกันมานานปี” เอาไว้ชัดเจนอย่างยิ่งว่า ก่อนหน้าที่จะกลายเป็นคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งในฝ่ายบริหารของทรัมป์ แบนนอนคือคนที่หลงใหลจนแทบกลายเป็น “หมกมุ่น” กับประวัติศาสตร์การทหาร, สงครามกองโจร, ศาสตร์แห่งสงครามและนโยบายต่างประเทศเชิงชาตินิยม

อัศวิน บรรณาธิการด้านโซเชียลมีเดียของ เดลีบีสต์ บรรยายเอาไว้ว่า หนึ่งในคนที่เคยทำงานในฮอลลีวู้ดอยู่กับแบนนอน แต่ขอไม่เปิดเผยชื่อเพราะเกรงจะได้รับผลกระทบจากแบนนอนที่ “เป็นคนผูกพยาบาท” ให้ความเห็นถึงการแต่งตั้งแบนนอนให้ดำรงตำแหน่งสำคัญทั้งในฐานะ “หัวหน้าทีมยุทธศาสตร์” ของทรัมป์และในฐานะ “สมาชิกหลัก” ในสภาความมั่นคงแห่งชาติ (เอ็นเอสซี) ว่า “เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่เคยเกิดขึ้นมา”

อดีตพนักงานบรีทบาร์ทผู้หนึ่งบอกว่า เรื่องราวทางด้านการทหารติดอยู่ในหัวแบนนอนตลอดเวลาจนสะท้อนออกมาเป็นคำพูดที่ใช้ศัพท์ทางทหารในการบรรยายถึงคนอื่นๆ ที่ร่วมงานอยู่ตลอดเวลา ทุกคำที่ใช้สะท้อนถึงการรุก ก้าวร้าว จู่โจมอยู่ตลอดเวลา ทุ่มเดิมพันอีกเท่าตัว เป็นอาทิ

ความลุ่มหลงในประวัติศาสตร์สงครามของแบนนอนแตกต่างจากคนทั่วไปอยู่ไม่น้อย ดูเหมือนสิ่งที่เขาหลงใหลจะจำกัดอยู่เฉพาะแต่กับยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ความเด็ดขาด อำมหิตเลือดเย็นของแนวคิดทางทหารที่ผ่านมา สะท้อนออกมาในข้อเขียนของแบนนอน (ที่มีไม่มากมายนัก) ตัวอย่างเช่นการแสดงความคิดเห็นต่อ “เรด นโปเลียน” แห่งสงครามเวียดนามอย่าง โว เหวียน ยัป ไว้ในข้อเขียนเมื่อเดือนตุลาคม 2013 อย่างชื่นชมว่า “ความดื้อแพ่งและอำมหิตกลายเป็นเครื่องหมายการค้าของ (นายพลโว) ในยามที่ต้องต่อสู้กับกองทัพที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากที่สุดในโลกถึง 2 กองทัพ”

ถัดมาในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ผ่านเว็บไซตบรีทบาร์ทอีกเช่นกัน แบนนอนอ้างว่าตัวเองเป็น “เลนินนิสต์” คนหนึ่งด้วย ไม่ใช่ในเชิงอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ หากแต่เป็นเรื่องเป้าหมายทางการเมือง เขาเขียนเอาไว้ว่า

“เลนินต้องการทำลายรัฐ นั่นก็เป็นเป้าหมายของผมเหมือนกัน…ผมอยากกระชากทุกอย่างลงมากองกับพื้น ทำลายความเป็นสถาบันของทุกวันนี้ลงให้หมด”

จูเลีย โจนส์ นักเขียนบทฮอลลีวู้ดที่ทำงานร่วมกับแบนนอนมานาน บอกว่าสถานที่ของแบนนอนระเกะระกะไปด้วยหนังสือหนังหาด้านการทหาร “เขารักสงคราม สงครามแทบเป็นบทกวีสำหรับเขา”

หนังสือ 2 เล่ม ที่โจนส์บอกว่าเห็นแบนนอน “พลิกอ่านอย่างตื่นเต้น” และเชื่อว่าเป็น 2 เล่มโปรดของเขา หนึ่งคือ “ตำราพิชัยสงคราม” ของซุน วู อีกหนึ่งคือ “ภควัท คีตา” แต่ในเวลาเดียวกันก็หลงใหลในสงครามระดับมหากาพย์ของอาณาจักรโรมัน ในยุคของมาร์คัส ออเรเลียส และจูเลียส ซีซาร์

ศึกที่ชื่นชอบเป็นพิเศษคือ ศึกเอเธนส์กับสปาร์ตา ที่เรียกกันว่า สงครามเพโลพอนเนเซียน

หรือเพราะเหตุนี้ ทรัมป์ถึงได้เลือกเขาขึ้นมาเป็นคนคุมความมั่นคงของประเทศทั้งหมด?

การดำรงตำแหน่ง “หัวหน้าทีมยุทธศาสตร์” ให้กับทรัมป์ของ สตีฟ แบนนอน ไม่มีปัญหากระไรนัก แต่การแต่งตั้งให้เขาดำรงตำแหน่งในสภาความมั่นคงแห่งชาติ กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวและวิพากษ์วิจารณ์กันไม่น้อย ในทางหนึ่งเป็นเพราะแบนนอนไม่เคยมีประสบการณ์ในหน่วยงานด้านความมั่นคง การต่างประเทศ และไม่มีประสบการณ์ในการบริหารหน่วยงานรัฐมาก่อน

แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือข้อวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ที่ว่า ทรัมป์เลือกที่จะแต่งตั้งแบนนอนให้เป็นหนึ่งใน “กรรมการหลัก” หรือ “พรินซิพัล คอมมิตตี” ของเอ็นเอสซี อันหมายถึงคนที่ต้องเข้าร่วมการประชุมกับประธานาธิบดีในทุกเรื่องและทุกครั้ง ในเวลาเดียวกับที่ลดระดับความสำคัญของผู้ที่กฎหมายระบุให้เป็นสมาชิกเอ็นเอสซีโดยตำแหน่งอย่าง หัวหน้าสำนักข่าวกรองแห่งชาติ และประธานเสนาธิการทหารร่วม ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของกองทัพสหรัฐอเมริกา ลงไปอยู่ในระดับรอง และจะเข้าร่วมประชุมเอ็นเอสซี “ต่อเมื่อมีเรื่องที่เกี่ยวข้องและต้องอาศัยความชำนาญพิเศษ” ของคนทั้งสองเท่านั้น

ประการหลังนี้เองที่แม้แต่คนอย่าง จอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิกคนสำคัญของพรรครีพับลิกัน ประธานกรรมาธิการกิจการทหารของวุฒิสภาชี้เอาไว้ว่า เป็นการแหวกธรรมเนียม “ออกห่างจากสภาความมั่นคงแห่งชาติทุกครั้งในประวัติศาสตร์อย่างสุดโต่ง”

โจช โบลเตน อดีตหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวของ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ระบุว่า แม้แต่อดีตประธานาธิบดีบุชยังไม่ทำเช่นนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่ต้องการให้ “บุคคลทางการเมือง” เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องที่หมายถึง “ความเป็นความตาย” ของบุคคลในเครื่องแบบ

เดวิด รอธคอปฟ์ นักเขียน นักวิชาการที่ศึกษาและเชี่ยวชาญในประวัติศาสตร์ของเอ็นเอสซี สรุปเรื่องนี้เอาไว้อย่างนี้ครับ

“(สหรัฐอเมริกา) กำลังเกิดความโกลาหลลุกลามออกไปอันเป็นผลมาจากการตัดสินใจของทำเนียบขาว ที่กระทำลงไปโดยไม่หารือกับหน่วยงานอื่นๆ ตามระบบราชการ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของประเทศ แล้วตอนนี้ก็มีคนกรูกันออกมาบนท้องถนนต่างๆ มากทั้งในแง่จำนวนและวิถีทาง ซึ่งชวนให้หวนรำลึกถึงสถานการณ์ในยุคทศวรรษ 1960”

เขาย้ำเอาไว้ด้วยว่า ไม่เป็นการเกินเลยไปแน่นอนถ้าจะพูดว่า สหรัฐอเมริกากำลังสร้าง “วิกฤต” ที่จะส่งผลสะเทือนออกไปในระดับนานาชาติขึ้นมา

ไม่มีอะไรสะท้อนโลกทัศน์ของแต่ละคนได้ดีเท่ากับสิ่งที่บุคคลนั้นๆ พูดหรือเขียนเอาไว้ ในกรณีของ สตีฟ แบนนอน สิ่งที่เขาทำเป็นประจำมากกว่าการเขียนคือการพูด

แบนนอนพูดแสดงความคิดเห็นบ่อยครั้งผ่านทาง “บรีทบาร์ท นิวส์ เดลี” รายการวิทยุที่ออกอากาศช่องสัญญาณ “ซิริอุส เอ็กซ์เอ็ม แพทริออท แซทเทลไลท์ เรดิโอ” มีหลายครั้งที่สะท้อนความคิดเห็นเกี่ยวกับโลกในเวลานี้ออกมาอย่างตรงไปตรงมา

ครั้งหนึ่งเมื่อเดือนมีนาคม 2016 เขาประกาศเอาไว้ชัดเจนยิ่งว่า “เรา (สหรัฐอเมริกา) กำลังจะเข้าสู่สงครามในทะเลจีนใต้ภายใน 5 ถึง 10 ปีข้างหน้านี้” และ “ไม่ต้องสงสัยเรื่องนี้ พวกนี้ยึดเอาสันทรายมาแล้วเปลี่ยนให้เป็นสถานีสำหรับเรือบรรทุกเครื่องบิน และจับขีปนาวุธไปวางไว้บนนั้น

“พวกนี้มาหาเรา เผชิญหน้าเราถึงในสหรัฐอเมริกา แล้วบอกง่ายๆ ว่านี่คือทะเลอาณาเขตของตัวเองมาตั้งแต่โบราณ”

ก่อนหน้านั้นในเดือนกุมภาพันธ์ หัวข้อที่เขาพูดออกไปทางวิทยุแห่งเดียวกันนี้ อดเชื่อมโยงเข้ามาหาจีนไม่ได้อีกเหมือนกัน แต่ในเวลาเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงเรื่องราวอีกประการที่อยู่ในความคิดของแบนนอนตลอดเวลานั่นคือเรื่องการคุกคามของ “อิสลาม”

“ตอนนี้คุณก็มีพวกอิสลามที่ต้องการขยายอำนาจ แล้วก็ยังมีจีนที่ต้องการขยายอำนาจ ใช่ไหม? พวกนี้มีแรงจูงใจเต็มที่ กำลังเดินตบเท้ากันมา และคิดว่าพวกยิว-คริสเตียนในตะวันตกกำลังล่าถอย”

แต่จีนไม่ใช่เป็น “จุดเดือด” แห่งเดียวในโลกทัศน์ของแบนนอน ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2015 เขาคาดการณ์ไว้ด้วยว่า ทหารอเมริกันจะเปิดฉากทำสงครามภาคพื้นดินอีกครั้ง “ในตะวันออกกลาง”

“สถานการณ์บางอย่างเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปรเป็นไม่น่าพอใจนิดหน่อย แต่คุณก็รู้ เรากำลังอยู่ระหว่างสงคราม ผมคิดนะว่าเรากำลังอยู่ในภาวะสงครามอย่างชัดเจน เราจะทำสงครามยิงกันครั้งใหญ่ในตะวันออกกลางอีกครั้ง”

โลกทัศน์ของแบนนอนจึงชัดเจนอย่างยิ่งว่า โลกตะวันตกกำลังตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคามสำคัญ 2 ประการด้วยกัน 1 คือจีน อีกหนึ่งคืออิสลาม ที่ปรึกษาคนสำคัญของทรัมป์ ขยายความเรื่องอิสลามเอาไว้อย่างน่าทึ่งสุดสุด ในการบรรยายพิเศษที่ “สถาบันศักดิ์ศรีมนุษย์” ซึ่งเป็นกลุ่มศาสนาอนุรักษนิยม ที่จัดการประชุมขึ้นที่นครวาติกัน เมื่อปี 2014 “บัซฟีด” เว็บไซต์ข่าวสารชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ได้เทปบันทึกคำบรรยายทั้งหมดนำมาเผยแพร่เอาไว้ในเว็บไซต์ของตน

ใครอยากเข้าไปอ่านโดยละเอียดก็ได้ครับ แต่โดยรวมๆ แล้ว แบนนอนพูดถึงสภาวะที่โลกตะวันตกเพิ่งผ่านพ้น “ยุคมืดใหม่” ในศตวรรษที่ 20 ขึ้นมาสู่ความรุ่งเรืองได้ชั่วขณะ แต่กำลังถูก “คุกคาม” จากสิ่งที่เขาเรียกว่า “ความป่าเถื่อนใหม่” ในรูปของการก่อการร้ายอิสลาม ซึ่งแบนนอนระบุว่าได้ก้าวมาถึงจุดที่อาจ “กวาดทำลายความก้าวหน้าหลายทศวรรษ” ของโลกตะวันตกลงได้

“เรากำลังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้นของความขัดแย้งที่โหดเหี้ยมและนองเลือด…ความป่าเถื่อนใหม่นี้กำลังเริ่มต้น และจะทำลายทุกอย่างลงโดยสมบูรณ์แบบ ทุกอย่างที่เราสืบทอดเป็นมรดกมาในช่วง 2,000-2,500 ปีที่ผ่านมา”

เขาบอกว่ากองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) จะกระจายไปทั่วโลกตะวันตกหากไม่มีใครหยุดยั้ง

“เรากำลังอยู่ในสงครามกับลัทธิฟาสซิสม์ อิสลาม ญิฮาด อย่างชัดแจ้ง และสงครามนี้ผมว่าจะแพร่ออกไปเร็วกว่าที่รัฐบาลไหนๆ สามารถรับมือได้ เรากำลังอยู่ในขั้นเริ่มต้นของความขัดแย้งระดับโลก และหากเราไม่จับมือกันเป็นหุ้นส่วนกันไว้ เมื่อนั้นความขัดแย้งนี้ก็จะระบาดออกไป พวกนั้นมีบัญชีทวิตเตอร์กันแล้วในตอนนี้ ไอเอสมี และพูดถึงการเปลี่ยนสหรัฐอเมริกาให้เป็น “แม่น้ำเลือด” ถ้าหากพวกนั้นเข้ามาได้…”

เขาสรุปไว้ตอนท้าย ท้าทายให้ทุกคนคิดว่า ในอีก 500 ปีข้างหน้าจะถามตัวเองอย่างไร

“พวกเขาจะพูดถึงผมอย่างไร พูดถึงอะไรที่ผมได้ทำในช่วงเริ่มต้นของวิกฤตการณ์นี้ เพราะนี่คือวิกฤต และเป็นวิกฤตที่คงอยู่ ไม่มีวันหายไปไหนแน่”

นี่แหละ โลกส่วนตัวแท้ๆ ของ สตีฟ เค. แบนนอน!

คนที่ว่ากันว่า กุมทุกอย่างในทำเนียบขาวอยู่ในมือผ่าน โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกา!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image