ซีเอ็นเอ็นรายงานอ้างแหล่งข่าวในทำเนียบขาวของสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่า นายไมเคิล ฟลินน์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐที่กำลังตกที่นั่งลำบาก ลาออกแล้วเมื่อคืนวันที่ 13 กุมภาพันธ์
การลาออกของนายฟลินน์มีขึ้นหลังจากรายงานข่าวหลายชิ้นระบุว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้เตือนฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อเดือนที่แล้วว่า นายฟลินน์ชักนำให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารเข้าใจผิดในเรื่องที่เขาติดต่อสื่อสารกับนายเซรเก คิสเลียค ทูตรัสเซียประจำสหรัฐ และมีความเป็นไปได้ว่าเขามีความเปราะบางจากการถูกข่มขู่แบล็กเมล์โดยรัสเซีย โดยเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายหนึ่งยืนยันว่า คำเตือนของกระทรวงยุติธรรมเป็นเรื่องจริง
มีการยกประเด็นความกังวลในเรื่องนี้ขึ้นมาหลังจากนายฟลินน์อ้างว่า เขาไม่ได้เจรจาหารือกับทูตรัสเซียเรื่องการคว่ำบาตรที่ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีบารัค โอบามา บังคับใช้เพื่อเป็นการแก้แค้นที่รัสเซียเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ
ทั้งนี้ นายฟลินน์ลาออกหลังเข้ารับตำแหน่งได้เพียงแค่ไม่ถึง 1 เดือน ทำให้เขากลายเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในฝ่ายบริหารของรัฐบาลสหรัฐที่ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่
ข่าวระบุว่า นายพลคีธ เคลล็อกก์ ที่ก่อนหน้านี้ดำรงตำแหน่งประธานคณะเจ้าหน้าที่สภาความมั่นคงแห่งชาติจะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นแห่งชาติชั่วคราวในระหว่างนี้ โดยชื่อของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งแทนนายฟลินน์มีทั้งนายพลเคลล็อกก์ นายพลเกษียณราชการ เดวิด พีเทรอัส และพลร.ท.บ็อบ ฮาร์วาร์ด
แหล่งข่าวเปิดเผยด้วยว่า นายพลพีเทรอัสจะเดินทางมายังทำเนียบขาวในวันที่ 14 กุมภาพันธ์เพื่อสมัครเข้ารับการคัดเลือกในตำแหน่งนี้ด้วย
การต้องพ้นตำแหน่งกะทันหันแสดงให้เห็นถึงความอลหม่านในฝ่ายบริหารชุดใหม่ตลอดช่วงเวลา 3 สัปดาห์แรกของรัฐบาลนายทรัมป์
ในกรณีของนายฟลินน์ ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่า เขาหารือกับทูตรัสเซียประจำสหรัฐในเรื่องการคว่่ำบาตรจริงหรือไม่ แต่อยู่ที่เขาได้ให้การเป็นความจริงกับนายเพนซ์หรือไม่ ซึ่งทำเนียบขาวได้ข้อสรุปว่า อย่างน้อยที่สุด นายฟลินน์ไม่ได้ตั้งใจทำให้นายเพนซ์เข้าใจผิด แต่อาจเป็นเพราะเขาจำไม่ได้ว่าได้หารือเรื่องอะไรกับทูตรัสเซียไปบ้าง ซึ่ง “การมีความจำไม่ดีไม่ใช่คุณสมบัติที่ควรจะเป็นของปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ”
