เวเนซุเอลาเดือด! ประชาชนประท้วงผลเลือกตั้ง ปธน. ฝ่ายค้านยันชนะขาดกวาด 73%
ชาวเวเนซุเอลาออกมาประท้วงไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่สภาเลือกตั้งแห่งชาติประกาศ (CNE) เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม รับรองชัยชนะของนายนิโกลัส มาดูโร ให้รั้งตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 3 ต่อไปอีก 6 ปี โดยระบุว่ามาดูโรได้คะแนนเสียง 51.2% เฉือนเอาชนะนายเอ็ดมุนโด กอนซาเลซ อูร์รูเดีย ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากฝ่ายค้าน ที่ได้คะแนนเสียง 44.2%
ด้านมาเรีย คอรินา มาชาโด ผู้นำฝ่ายค้าน ออกมายืนยันว่า ฝ่ายค้านเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงมากถึง 73.2% พร้อมให้รายละเอียดตัวเลขว่า มีผู้ลงคะแนนให้มาดูโรเพียง 2.75 ล้านเสียง แต่มีผู้ลงคะแนนให้กับอูร์รูเดียถึง 6.27 ล้านเสียง
ตัวเลขดังกล่าวแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับที่ CNE ประกาศก่อนหน้านี้ว่า มาดูโรได้คะแนนไป 5.15 ล้านเสียง ขณะที่อูร์รูเดียวได้คะแนนเสียงสนับสนุน 4.45 ล้านเสียง แม้ว่าผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งสามารถขอรับผลการนับคะแนนจากเครื่องลงคะแนนได้ตามกฎหมายเวเนซุเอลา แต่ฝ่ายค้านระบุว่า มีการบันทึกคะแนนที่นับไปได้แค่ราว 40% เท่านั้น โดยผู้สังเกตการณ์บางคนถูกสกัดกั้นไม่ให้ติดตามผลการนับคะแนน ขณะที่ในอีกบางแห่งก็ไม่มีการตีพิมพ์เผยแพร่ผลการนับคะแนนด้วย
หลัง CNE ประกาศชัยชนะของมาดูโร พร้อมยืนยันว่าเขาคว้าชัยด้วยคะแนนเสียงส่วนใหญ่ของผู้มาใช้สิทธิ รัฐบาลหลายประเทศ อาทิ คอสตาริกา ชิลี และเปรู ต่างออกมาตั้งคำถามและแสดงความไม่เชื่อถือผลการเลือกตั้งดังกล่าว เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา ด้านองค์การรัฐอเมริกัน (OAS) ประกาศว่าจะจัดประชุมสภาพในวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งในเวเนซุเอลา
ผลสำรวจความเห็นที่จัดทำขึ้นอย่างเป็นอิสระเพื่อรวบรวมความเห็นจากผู้มาลงคะแนนเสียงระบุว่า จำนวนผู้ให้การสนับสนุนนายอูร์รูเดียอยู่ที่ 65% และมีผู้ให้การสนับสนุนมาดูโรที่ 14% ถึง 31%
ผลเลือกตั้งที่ประกาศอย่างเป็นทางการของ CNE ยังทำให้เกิดการประท้วงขึ้นทั่วประเทศตามมาในช่วงค่ำวันที่ 29 กรกฎาคม โดยมีผู้เสียชีวิตแล้ว 2 รายในรัฐตาชีรา และเมืองมาราไกย์ ผู้ประท้วงยังรวมตัวกันใกล้กับทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงการากัสและด้านนอกที่ทำการรัฐบาลบางแห่ง โดยศูนย์สังเกตการณ์ความขัดแย้งของเวเนซุเอลาระบุว่า จนถึงเวลา 18.00 น. ของวันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม มีการประท้วงเกิดขึ้นแล้ว 187 ครั้งใน 20 รัฐ
มาดูโรได้กล่าวปราศรัยผ่านสถานีโทรทัศน์ในช่วงค่ำวันเดียวกันว่า เรารู้วิธีที่จะรับมือกับสถานการณ์และวิธีที่จะเอาชนะผู้ก่อเหตุรุนแรง ขณะที่วลาดิมีร์ ปาดริโน รัฐมนตรีกลาโหม ออกมาเตือนว่า ไม่ควรให้เกิดเหตุเลวร้ายเหมือนในปี 2014, 2017 และ 2019 ขึ้นอีก ซึ่งผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลได้ออกมาเดินขบวนบนท้องถนน ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน