บัวแก้วโต้รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนเอไอปี’59 ไม่สะท้อนพัฒนาการทุกด้าน

นายเสข วรรณเมธี

เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ นายเสข วรรณเมธี เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ปฏิบัติหน้าที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชน 159 ประเทศทั่วโลก ประจำปี 2559-2560 ขององค์กรนิรโทษกรรมสากล(เอไอ)ว่า เอไอเป็นองค์กรที่ไม่ใช่รัฐได้เผยแพร่รายงานด้านสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลก รายงานดังกล่าวจัดทำขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยสถานการณ์ในประเทศไทยเป็นเพียงส่วนหนึ่งของรายงาน กระทรวงการต่างประเทศรับทราบรายงานดังกล่าวโดยเห็นว่ารายงานยังมิได้สะท้อนถึงพัฒนาการในประเทศไทยอย่างครอบคลุม

นายเสขชี้แจงว่า รัฐบาลยึดมั่นดำเนินการตามโรดแมปเพื่อนำพาประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง สังคมที่ปรองดองและบ้านเมืองที่มีเสถียรภาพอย่างยั่งยืนซึ่งขณะนี้การดำเนินการมีความคืบหน้าตามลำดับ โดยกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ และการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญเมื่อเดือนสิงหาคม 2559 เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไป ได้เปิดให้ประชาชนและทุกภาคส่วน ทั้งภาควิชาการ สื่อมวลชน ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตและไม่ขัดต่อกฎหมายผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง อาทิ การอภิปราย และการเสวนาทั่วประเทศ ซึ่งผลการออกเสียงประชามติเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายสะท้อนถึงการมีส่วนร่วมในสังคมอย่างครอบคลุม

นายเสขกล่าวว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเคารพสิทธิมนุษยชนตามหลักปฏิบัติสากล ดังเห็นได้ว่าสื่อมวลชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้อย่างเสรี อย่างไรก็ดี มีความจำเป็นต้องคำนึงถึงการรักษาความสงบเรียบร้อยและการป้องกันความแตกแยกในสังคมด้วย โดยการใช้สิทธิดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย และความสงบเรียบร้อยในสังคม และต้องไม่ละเมิดสิทธิหรือชื่อเสียงของผู้อื่นตามที่ได้บัญญัติไว้ใน มาตรา 19 (3) ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง

นายเสขกล่าวต่อว่า สำหรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นส่วนหนึ่งของประมวลกฎหมายอาญาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จากการกระทำฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้าย ในลักษณะเดียวกับกฎหมายหมิ่นประมาทที่ให้ความคุ้มครองบุคคลทั่วไป เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการริดรอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และมิได้มีแรงจูงใจทางการเมืองแต่อย่างใด นอกจากนี้ การดำเนินคดีในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพยังมีกระบวนการพิจารณาคดีอันควรแห่งกฎหมาย (due legal process) เหมือนกับคดีอาญาโดยทั่วไป โดยจำเลยมีสิทธิ์ที่จะต่อสู้คดีและได้รับการพิจารณาอย่างเที่ยงธรรม และผู้ที่ถูกพิพากษาให้มีความผิดตามกฎหมายดังกล่าวมีสิทธิในการอุทธรณ์และขอพระราชทานอภัยโทษ เฉกเช่นเดียวกับความผิดอาญาอื่น ๆ

Advertisement

นายเสขกล่าวอีกว่า ประเด็นระบบยุติธรรม รัฐบาลได้ปฏิรูปกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่สั่งสมมานาน รวมถึงประเด็นความเหลื่อมล้ำและสิทธิมนุษยชน ซึ่งปัจจุบันได้ประกาศใช้แล้วจำนวนมากกว่า 190 ฉบับ นอกจากนั้น เมื่อสถานการณ์ในประเทศมีความสงบเรียบร้อยขึ้นตามลำดับ หัวหน้า คสช.ได้มีคำสั่ง ที่ 55/2559 ลงวันที่ 12 กันยายน 2559 กำหนดให้การกระทำความผิดที่อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลทหารบางประเภทกลับไปอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการผ่อนคลายมาตรการด้านความมั่นคงเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามหลักนิติธรรมและหลักสิทธิมนุษยชน

นายเสขกล่าวว่า ในประเด็นการปกป้องคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนนั้น บุคคลกลุ่มดังกล่าวได้รับความคุ้มครองจากการพิจารณาคดีด้วยความเที่ยงธรรมของศาลเท่าเทียมกับบุคคลทุกกลุ่ม โดยในกรณีของนายแอนดี ฮอล เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2559 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องนายฮอลกรณีถูกบริษัทเนเชอรัลฟรุตฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นประมาททางอาญาจากการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอัลจาซีรา นอกจากนั้น ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ เมื่อปี 2555 และอยู่ระหว่างออกกฎหมายภายในเพื่อเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าว กล่าวคือ ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. … ซึ่งปัจจุบัน ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

นายเสขกล่าวว่า ประเด็นผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงมีความคืบหน้าที่สำคัญ โดยเฉพาะในประเด็นผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่า โดยภายหลังจากที่พม่ามีพัฒนาการทางการเมืองในเชิงบวกรัฐบาลไทยได้ร่วมมือกับรัฐบาลพม่าและสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ(ยูเอ็นเอชซีอาร์)ในการอำนวยความสะดวกส่งผู้หนีภัยการสู้รบชาวเมียนมา จำนวน 71 คนกลับประเทศด้วยความสมัครใจในเดือนตุลาคม 2559 โดยคณะทำงานร่วมซึ่งมีปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ของทั้งสองประเทศเป็นประธานร่วมจะพบเพื่อหารือเกี่ยวกับการส่งผู้หนีภัย การสู้รบ ที่ยังตกค้างอีก 102,000 คน กลับประเทศ ซึ่งยูเอ็นเอชซีอาร์จะให้ความช่วยเหลือในการส่งกลับด้วย ทั้งนี้ กระบวนการดังกล่าวจะช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับทุกฝ่ายเพื่อให้การส่งกลับผู้หนีภัยการสู้รบและการนำผู้หนีภัยการสู้รบกลับคืนสู่สังคมอย่างถาวรเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

“ขอยืนยันว่ารัฐบาลไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ตลอดจนเสรีภาพของประชาชนอย่างครอบคลุม ตราบที่อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย โดยมุ่งมั่นในการปฏิรูปกฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวช้อง เพื่อส่งเสริมการคุ้มครองเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง ในการนี้ รัฐบาลยินดีรับฟังความห่วงกังวลของทุกภาคส่วน รวมทั้งภาคประชาสังคม และมุ่งหวังให้เกิดความร่วมมือที่สร้างสรรค์และอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่มีรอบด้านและสมดุล เพื่อจะช่วยส่งเสริมการดำเนินการเพื่อส่งเสริมสิทธิมนุษยชนอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป”นายเสขกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image