ที่มา | คอลัมน์ - ไทยพบพม่า |
---|---|
ผู้เขียน | ลลิตา หาญวงษ์ |
รัฐบาล SAC ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะจัดการเลือกตั้งทั่วประเทศในปลายปี 2025 ก่อนที่จะเกิดการเลือกตั้งขึ้นจริง สัญญาณแรกที่ทำให้เรารู้ว่า SAC “เอาจริง” คือการประกาศว่าจะมีการสำรวจสำมะโนประชากร (census) ระหว่างวันที่ 1-15 ตุลาคม ปีนี้ เป้าหมายของการสำรวจสำมะโนประชากรรอบนี้ จากคำพูดของพลเอกอาวุโส มิน อ่อง ลาย คือการเตรียมข้อมูลประชากรที่ “ถูกต้องและเที่ยงตรง” ไม่ใช่เฉพาะแต่การเลือกตั้งเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์สำหรับโครงการพัฒนาที่มีอยู่และจะมีในอนาคตด้วย
ตั้งแต่ SAC รัฐประหารยึดอำนาจในต้นปี 2021 SAC พูดถึงการจัดการเลือกตั้งมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ต้องเลื่อนออกไป เพราะเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ และมีการสู้รบอย่างต่อเนื่องในแทบทุกพื้นที่ของประเทศ ถ้าเราจะอ่านใจ มิน อ่อง ลาย ว่าเหตุใดถึงเลือกจัดการเลือกตั้งในปลายปี 2025 แทนที่จะเป็นในปีนี้หรือปีก่อนๆ ทั้งที่เคยให้คำมั่นไว้ว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว ผู้เขียนมองว่าการเมืองในพม่าไม่ได้มีความตรงไปตรงมามากนัก แต่เดิม มิน อ่อง ลาย เองก็ไม่ได้กระตือรือร้นอยากจะจัดเลือกตั้งนัก การตัดสินใจรัฐประหารนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หาก SAC ไม่มั่นใจว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ ก็คงไม่มีความคิดจะให้มีการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ดี ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เราเห็นท่าทีจากมหาอำนาจอย่างจีน ที่เข้าไปเจรจากับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายภาคส่วนในพม่า จีนไม่ได้ใช้ตัวแทนเจรจาเพียงแค่คนเดียว แต่สลับส่งทั้งทูตพิเศษและรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศเข้าไป เพื่อโน้มน้าวให้คนหรือกลุ่มบุคคลที่จีนเชื่อว่าสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ได้ ยอมรับบทบาทนำของจีนในฐานะผู้เจรจากรุยทางไปสู่การสร้างสันติภาพในพม่า
การทูตที่จีนมีต่อพม่ายุคใหม่สร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับหลายฝ่าย เพราะนี่ไม่ใช่การทูตแบบลับๆ ล่อๆ (discreet diplomacy) แต่เป็นการประกาศให้โลกรับรู้ไปเลยว่าจีนต้องการให้สถานการณ์ในพม่าสงบลง เพราะความไม่สงบที่เกิดขึ้นมีผลกระทบอย่างหนักหน่วงกับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของจีน โดยเฉพาะท่อส่งก๊าซและน้ำมัน ที่ผ่านรัฐอาระกัน รัฐฉานตอนเหนือ เข้าไปในมณฑลยูนนาน รวมทั้งเส้นทางการค้าอื่นๆ ที่เป็นตัวกำหนดการค้าชายแดนระหว่างจีนตอนใต้กับพม่า
เมื่อพี่ใหญ่อย่างจีนแสดงออกชัดว่าไม่ต้องการให้ มิน อ่อง ลาย อยู่ในตำแหน่ง แม้จีนจะมองว่า SAC ยังมีความจำเป็นที่จะช่วยรักษาผลประโยชน์ของจีนในพม่า แต่การเจรจาเพื่อกำหนดทิศทางและอนาคตของพม่าก็ไม่ง่าย คำถามที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือหาก มิน อ่อง ลาย ลงจากตำแหน่ง และเฟดตัวเองออกจากการเมืองจริง เขาจะไปอยู่ที่ไหน?
คำถามนี้สำคัญมากๆ นะคะ เพราะในท่ามกลางสถานการณ์ที่มีการสู้รบกันดุเดือดอย่างที่เป็นอยู่ ฝ่ายต่อต้านทั้งรัฐบาลคู่ขนาน NUG และกองกำลัง PDF หรือกองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์ ก็จ้องจะเล่นงานผู้นำ SAC อย่างเจ็บแสบอยู่แล้ว มีแนวคิดที่ว่าด้วย “ความยุติธรรมในยุคเปลี่ยนผ่าน” (transitional justice) ของฝ่ายต่อต้าน ที่ต้องการนำอาชญากรสงคราม ทั้งผู้นำรัฐประหาร และคนในกองทัพพม่า ที่ปราบปรามฝ่ายต่อต้านอย่างป่าเถื่อน มาลงโทษตามกฎหมาย เมื่อฝ่ายต่อต้านมีแนวคิดนี้ตั้งต้น การเจรจาระหว่าง SAC กับคู่ขัดแย้งย่อมเกิดขึ้นได้ยาก
ผู้เขียนมองว่าการเลือกตั้งในปี 2025 คงจะเกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเชื่อมั่นว่า SAC จะจัดการเลือกตั้งได้ แต่เชื่อว่าทั้งจีนและประเทศรอบข้างอย่างไทย คงทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน และอยากให้ความรุนแรงในพม่าจบลงเร็วๆ ผู้เขียนมองว่าความขัดแย้งในพม่าไม่ได้จบลงง่ายๆ และไม่สามารถจบลงได้พร้อมกับการเลือกตั้งหรอกค่ะ แต่สิ่งที่จีนและหลายฝ่ายในไทย ทั้งฝ่ายมั่นคงและนักธุรกิจ มองเห็นร่วมกันคือขอแค่เห็นความรุนแรงบรรเทาเบาบาง และมีพื้นที่ให้ภาคธุรกิจเติบโตบ้าง ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับหลายฝ่าย เว้นแต่ฝ่ายต่อต้านที่ไม่แสดงออกว่าบอกบุญไม่รับการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างแน่นอน และจะทำทุกทางเพื่อขัดขวางการเลือกตั้งในพื้นที่ที่ตนเองควบคุมอยู่ด้วย
ถ้าเรายึดว่าจะมีการเลือกตั้งขึ้นมาในปลายปี 2025 อย่างแน่นอน นี่คือฉากทัศน์ที่อาจเกิดขึ้น
ฉากทัศน์แรก ความเคลื่อนไหวของจีนในช่วงหลายเดือนมานี้มีความน่าสนใจว่าส่งผู้นำระดับสูงไปพบกับอดีตประธานาธิบดีเต็ง เส่ง และพลเอกตานฉ่วย อดีตผู้นำ SPDC ข่าวที่ออกมาสรุปได้ว่าจีนต้องการให้ “ลูจี” (lu gyi) หรือผู้หลักผู้ใหญ่เหล่านี้เกลี้ยกล่อมให้ มิน อ่อง ลายลาออก เปิดโอกาสให้ผู้นำสาย “กลางๆ” ขึ้นมาบริหารประเทศต่อ แต่ในความเป็นจริง อำนาจทั้งหมดในประเทศ และ SAC รวมศูนย์อยู่ที่ มิน อ่อง ลาย แต่เพียงผู้เดียว แม้จะมีความเกรงใจอดีตผู้นำทั้งสองอยู่บ้าง แต่ต้องยอมรับว่า มิน อ่อง ลาย ยังรวบอำนาจไว้ที่ตนเองได้อยู่ เป้าหมายของจีนอาจจะอยากเห็นรัฐบาลพม่าชุดใหม่ ที่เป็นรัฐบาลพลเรือนที่ทหารควบคุม (civilianized military rule) เหมือนในยุคเต็ง เส่ง ซึ่งเป็นยุคที่พม่าเริ่มเข้าสู่การปฏิรูปทางการเมือง และยังเป็นยุคที่กองทัพมีบทบาทในรัฐบาลกึ่งพลเรือนได้โดยไม่ถูก “ทัวร์ลง” มากนัก รัฐบาล SAC จะเดินหน้าเจรจาเพื่อรวบรวมพรรคการเมืองและกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ที่ตนสามารถเจรจาได้ และจะชักชวนให้ลงสมัครเลือกตั้ง เพื่อทำให้เห็นว่าการเลือกตั้งนี้ได้รวมกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มไว้จริง
ฉากทัศน์ที่สอง ชัดเจนว่าการเลือกตั้งปี 2025 จะเกิดขึ้นในบางพื้นที่ที่ SAC สามารถควบคุมได้ และในพื้นที่กลุ่มชาติพันธุ์บางส่วนที่ยังเป็นพันธมิตรกับ SAC อยู่ แต่ในท้ายที่สุด พื้นที่เลือกตั้งจะอยู่เพียงพม่าตอนล่าง พม่าตอนกลาง และพม่าตอนบนบางส่วน ในขณะที่กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์จะต่อต้านการเลือกตั้งนี้ถึงที่สุด หากไม่มีความพยายามลงนามในข้อตกลงหยุดยิงทั่วประเทศ โอกาสที่การเลือกตั้งจะรวมทุกพื้นที่เข้ามาก็คงเกิดขึ้นไม่ได้ มิน อ่อง ลาย คงต้องรับบทเป็นผู้นำในรัฐบาลชุดใหม่ สภาพของรัฐบาลหลังการเลือกตั้งอาจไม่แตกต่างจาก SAC ในปัจจุบันมากนัก อย่างไรก็ดี มิน อ่อง ลาย เองคงไม่อยากเลือกแนวทางนี้มากนัก นอกเสียจากจะเกิดความรุนแรงระหว่างการเลือกตั้ง เพราะเป้าหมายของการเลือกตั้งคือการประกาศให้โลกรับรู้ว่าพม่ากำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นผ่านการเลือกตั้ง
ฉากทัศน์สุดท้าย มีข้อสังเกตจากหลายฝ่ายว่าการเลือกตั้งอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจริง ตามธรรมชาติของผู้นำ SAC เขาไม่ไว้ใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น อีกทั้งยังกลัวว่าจะมีการแทรกแซงจากภายนอก จุดใหญ่ของการเลือกตั้งครั้งนี้คือทำอย่างไรก็ได้ให้รัฐประหาร 2021 ไม่สูญเปล่า และให้กองทัพยังมีอำนาจนำในการบริหารประเทศอยู่ต่อไป ลึกๆ แล้ว ผู้เขียนคิดว่าการเลือกตั้งคงเกิดขึ้น แต่ทฤษฎีที่ว่า SAC อาจเปลี่ยนใจไม่จัดเลือกตั้งในปลายปี 2025 ก็เป็นไปได้เช่นกัน เพราะตลอดประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ในพม่า เราเห็นการเปลี่ยนใจแบบกลางอากาศมาแล้วหลายครั้ง เพียงเพราะมีข่าวลือ อาจจะเกิดความกลัว (paranoid) หรือมีโหรคนใดคนหนึ่งทักไม่ให้จัดการเลือกตั้งก็ได้!
ลลิตา หาญวงษ์