ค่ายวอลโว่ ล้มแผนมุ่งเป้าผลิตเฉพาะรถอีวี ภายในปี 2030 เหตุสภาวะตลาดเปลี่ยน-ดีมานด์ชะลอตัว
เมื่อวันที่ 5 กันยายน สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า วอลโว่ ค่ายรถยักษ์สวีเดนได้ละทิ้งเป้าหมายที่ประกาศไว้เมื่อ 3 ปีก่อนว่าจะผลิตแต่รถยนต์ไฟฟ้า(อีวี)เท่านั้นอย่างเต็มสูบภายในปี 2030
การพับแผนการดังกล่าวไว้ก่อนของค่ายวอลโว่ถูกระบุว่าเป็นผลมาจากสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีขึ้นในขณะที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมรถยนต์เผชิญกับอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงในตลาดหลักบางแห่งสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และเผชิญความไม่แน่นอนอันเนื่องมาจากมาตรการทางภาษีที่มีการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสำหรับรถอีวีที่ผลิตในจีน
วอลโว่ ซึ่งเคยอวดอ้างการรับรองด้านสิ่งแวดล้อม เป็นอีกค่ายรถร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อื่นๆ เช่น เจนเนอรัล มอเตอร์ส และ ฟอร์ด ที่ลดความทะเยอทะยานในการตะลุยผลิตรถยนต์ไฟฟ้าลง
ขณะนี้วอลโว่คาดว่าอย่างน้อย 90% ของการผลิตรถยนต์ของบริษัทจะประกอบด้วยรถยนต์ไฟฟ้า และรถ PHEV หรือรถปลั๊กอินไฮบริดภายในปี 2030 นอกจากนี้ค่ายวอลโว่ยังอาจจะจำหน่ายรถรุ่น Mild Hybrid (MHEV) หรือระบบที่เครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าอีกเล็กน้อย
จิม โรวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของวอลโว่ กล่าวว่า เราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าอนาคตของเราคือพลังงานไฟฟ้า อย่างไรก็ตามเป็นที่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าจะไม่ได้เป็นเส้นตรง ลูกค้าและตลาดยังต่างเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน
วอลโว่ระบุอีกว่าบรรยากาศทางธุรกิจสำหรับรถอีวียังเปลี่ยนไปเนื่องจากหลายปัจจัย เช่น การเปิดตัวสถานีชาร์จที่ล่าช้าและการตัดแรงจูงใจผู้บริโภคออกไป
อย่างไรก็ตามมีความเห็นจากนักวิเคราะห์อิสระอย่างแอนนา แมคโดนัล์ ที่มองว่าผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวการเปลี่ยนไปใช้รถอีวี เช่น เงินอุดหนุนบางส่วนที่รัฐบาลกำหนดไว้เพื่อสนับสนุนในการซื้อรถอีวีนั้นได้สิ้นสุดลงแล้วและยังขาดความต้องการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวการชาร์จไฟรถยนต์ และทำให้รถอีวียังคงมีราคาสูงอยู่
ในขณะที่สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาตั้งกำแพงภาษีรถยนต์อีวีที่นำเข้าจากจีนเพื่อหยุดยั้งไม่ให้เข้ามาล้นตลาด นั่นหมายความว่ารถอีวีจะต้องผลิตนอกประเทศจีนซึ่งก็มีราคาสูงกว่าในตัวมันเองอยู่แล้ว