‘โป๊ปฟรานซิส’ เสด็จเยือนติมอร์-เลสเต ปชช.แห่ต้อนรับ 7.5 แสนชีวิตจ่อร่วมพิธีมิสซา
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก ได้เสด็จถึงประเทศติมอร์-เลสเต เมื่อวันที่ 9 กันยายน โดยการเสด็จเยือนดังกล่าวเป็นเวลา 3 วันจะมีการจัดพิธีมิสซาที่ทางสำนักวาติกันคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมมากถึง 750,000 คนในวันที่ 10 กันยายนนี้
โป๊ปฟรานซิสกำลังอยู่ระหว่างเสด็จเยือน 4 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียเป็นเวลา 12 วัน ซึ่งถือเป็นการเสด็จเยือนต่างประเทศที่นานที่สุดของพระองค์ โป๊ปฟรานซิสเสด็จจากประเทศปาปัวนิกินีถึงสนามบินในกรุงดิลีของติมอร์-เลสเตเมื่อช่วงเที่ยงวัน โดยมีนายฌูแซ รามุซ-ออร์ตา ประธานาธิบดีติมอร์-เลสเตรอให้การต้อนรับ พร้อมด้วยกลุ่มเด็กนักเรียนที่แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองที่มอบดอกไม้และผ้าพันคอพื้นเมืองให้กับสมเด็จพระสันตะปาปา ประชาชนหลายหมื่นคนต่างโบกธงของวาติกันตลอด 2 ฝั่งถนนขณะที่รถยนต์ของโป๊ปฟรานซิสขับผ่าน
ประเทศติมอร์-เลสเตอาจเรียกได้ว่าเป็นประเทศที่มีสัดส่วนประชากรที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมากที่สุดในโลกถึง 96% ของประชากรทั้งหมด 1.3 ล้านคน ติมอร์-เลสเตได้รับเอกราชจากประเทศอินโดนีเซียในปี 2002 และโป๊ปฟรานซิสเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ที่ 2 ที่เสด็จเยือนติมอร์-เลสเต หลังสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 เสด็จเยือนในปี 1989 ซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องเอกราชในติมอร์-เลสเตมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ในการเยือนครั้งนี้ โป๊ปฟรานซิสจะเข้าร่วมพิธีมิสซาในวันที่ 10 กันยายน ซึ่งจะจัดขึ้นที่ Tasitolu พื้นที่ติดชายฝั่งทะเลที่กองทัพอิสโดนีเซียเคยใช้ฝังนักรบเรียกร้องเอกราชของติมอร์ ทางผู้จัดงานคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมพิธีมิสซามากถึง 750,000 คน
อย่างไรก็ตาม เมืองในติมอร์ได้ใช้เงินจำนวนมากในการปรับปรุงเมืองและได้ย้ายคนไร้บ้านตามท้องถนนออกไปจากพื้นที่ที่โป๊ปฟรานซิสจะเสด็จผ่าน ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลมีเดียและกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่บอกว่าบ้านชั่วคราวของคนยากไร้ถูกทุบทิ้งเพื่อเตรียมการจัดพิธีมิสซา
โป๊ปฟรานซิสจะเสด็จเยือนประเทศสิงคโปร์ระหว่างวันที่ 11 – 13 กันยายนนี้ และจะมีการประกอบพิธีมิสซาที่คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วม 50,000 คน ก่อนที่จะเสด็จกลับกรุงโรม ประเทศอิตาลี ทางการสิงคโปร์เปิดเผยว่าจะเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยที่จุดตรวจทางบก อากาศ และทะเลในช่วงสัปดาห์นี้ จากสถานการณ์ด้านความปลอดภัยในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น โดยเตือนว่าอาจมีความล่าช้าและต้องใช้เวลาในกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองนานขึ้น