‘ทรัมป์’ ลั่นเนรเทศผู้อพยพเฮติ หลังอ้างลอยๆ ขโมยกินหมา-แมว จนทำสปริงฟิลด์ป่วนไปทั่ว
นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดี และผู้สมัครตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ยังคงสร้างความปั่นป่วนจากคำกล่าวอ้างลอยๆ ในประเด็นเรื่องผู้อพยพชาวเฮติว่าแอบขโมยกินหมากินแมว ล่าสุดทรัมป์ออกมากล่าวในวันที่ 13 กันยายนว่า เขาจะผลักดันผู้อพยพชาวเฮติ ในเมืองสปริงฟิลด์ รัฐโอไฮโอ ออกจากประเทศไปเป็นอย่างแรก หากเขาชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี
ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวขณะลงพื้นที่ในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันศุกร์ (13 ก.ย.)ว่า เขาจะเนรเทศผู้อพยพเฮติจำนวนมากออกไป โดยจะเริ่มที่เมืองสปริงฟิลด์ ในรัฐโอไฮโอ ที่ถูกผู้อพยพทำลาย ทรัมป์ยังกล่าวถึงเมืองที่ 2 ที่เขาจะเนรเทศผู้อพยพออกไปคือ เมืองออโรรา ในรัฐโคโลราโด ที่กลุ่มนักวิจารณ์ฝ่ายขวากล่าวอ้างอย่างไม่มีมูลว่าตกอยู่ในมือของแก๊งชาวเวเนซุเอลา
การประกาศจุดยืนในเรื่องนี้ของทรัมป์มีขึ้นหลังจากทรัมป์กล่าวอ้างอย่างไร้มูลความจริงอีกครั้งในระหว่างการอภิปรายโต้วาทีกับ นางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐ และผู้สมัครตัวแทนพรรคเดโมแครต บนเวทีดีเบตทางสถานีโทรทัศน์เอบีซีนิวส์เมื่อวันอังคาร (10 ก.ย.) ว่า ผู้อพยพชาวเฮติในเมืองสปริงฟิลด์ได้จับฆ่าและกินหมาแมวและสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ของคนขาวในสปริงฟิลด์
คำกล่าวอ้างดังกล่าวของทรัมป์ที่สร้างความตกตะลึงให้กับอเมริกันที่มีเสียงปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง ได้ก่อให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นในเมืองสปริงฟิลด์ท่ามกลางความตึงเครียดของการรู้สึกต่อต้านผู้อพยพชาวเฮติอยู่แล้ว โดยมีรายงานว่ามีการอพยพผู้คนออกจากโรงเรียนหลายแห่งในเมืองสปริงฟิลด์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากมีการขู่วางระเบิด ซึ่งเป็นสถานการณ์คล้ายกับในวันพฤหัสบดีที่มีการส่งอีเมล์หรือโทรศัพท์ขู่วางระเบิดไปยังหลายหน่วยงานรวมถึงโรงเรียน
ด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ ออกมาแสดงความเห็นต่อคำกล่าวอ้างเรื่องผู้อพยพชาวเฮติทรัมป์ว่า ทรัมป์จะต้องหยุดกระพือความตึงเครียดเหล่านี้และอเมริกาไม่มีพื้นที่ให้กับเรื่องเหล่านี้
ทั้งนี้ชุมชนชาวเฮติที่ก่อตัวขึ้นในเมืองสปริงฟิลด์เป็นส่วนหนึ่งของการทะลักไหลเข้ามาของผู้อพยพชาวเฮติที่ได้รับสถานะคุ้มครองตามกฎหมายภายใต้โครงการช่วยเหลือชาวเฮติของรัฐบาลกลางสหรัฐ
หลายปีที่ผ่านมา เมืองสปริงฟิลด์เผชิญกับจำนวนประชากรลดลงและเศรษฐกิจตกต่ำมานานในขณะที่อุตสาหกรรมการผลิตได้ย้ายฐานออกไป การหลั่งไหลเข้ามาของผู้อพยพชาวเฮติราว 20,000 คน ได้รับการชื่นชมว่าช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในท้องถิ่น แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความตึงเครียดให้กับภาคบริการสาธารณะของเมือง
กระทั่งความตึงเครียดปะทุขึ้นครั้งแรกในปีที่แล้ว เมื่อเกิดเหตุคนขับรถชาวเฮติได้ขับรถตู้ชนรถโรงเรียน จนทำให้มีเด็กนักเรียนวัย 11 ปี เสียชีวิต 1 ราย ซึ่งกลุ่มนักเคลื่อนไหวต่อต้านผู้อพยพได้หยิบฉวยเรื่องนี้มาเล่นเป็นประเด็นโจมตีผู้อพยพ