ที่มา | นสพ.มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | เสกขภูมิ วรรณปก [email protected] |
เผยแพร่ |
รายงานข่าวชิ้นหนึ่งในนิวยอร์กไทม์สเมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา ระบุว่าทีมงานของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีความคิดเห็นแตกแยกไม่ลงรอยกันอย่างรุนแรงในเรื่องการตัดสินใจว่าสหรัฐควรจะถอนตัวออกจากความตกลงปารีสหรือไม่
แหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่ด้านพลังงานของรัฐบาลเปิดเผยว่า สตีฟ แบนนอน ที่ปรึกษาอาวุโส ได้กดดันให้ทรัมป์ถอนตัวจากข้อตกลงประวัติศาสตร์เพื่อต่อสู้กับโลกร้อนโดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกฉบับนี้ ที่เห็นพ้องกันโดย 194 ประเทศเมื่อเดือนธันวาคม 2558
ซึ่งนั่นจะถือว่าเป็นเรื่องดีในการทำได้ตามคำมั่นสัญญาสำคัญในการหาเสียงของทรัมป์ที่มีแนวคิดปฏิเสธเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อย่างไรก็ตาม เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศ ที่เป็นอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่เอ็กซอนโมบิล และอิวานกา ทรัมป์ ลูกสาวผู้ทรงอิทธิพลของประธานาธิบดีสหรัฐเองไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจเช่นนั้น
ทั้งคู่เป็นกังวลว่าการถอนตัวออกมาจากข้อตกลงดังกล่าวที่ผ่านการเจรจามาในสมัยของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา จะเป็นการทำให้ความน่าเชื่อถือของสหรัฐในสายตาของต่างชาติลดลง และสร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์กับชาติพันธมิตรสำคัญหลายแห่ง
นอกจากนี้ยังมีรายงานด้วยว่า ทรัมป์วางแผนว่าจะลดจำนวนเจ้าหน้าที่ของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (อีพีเอ) ลง 20 เปอร์เซ็นต์
ปัจจุบัน สก๊อต พรุตต์ ที่ทรัมป์แต่งตั้งมากับมือเป็นผู้อำนวยการหน่วยงานแห่งนี้ โดยสมัยที่พรุตต์ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดรัฐโอคลาโฮมา เขาได้เคยยื่นฟ้องคัดค้านกฎระเบียบของอีพีเอ 14 ข้อ
และอย่างเร็วที่สุดในต้นสัปดาห์นี้ ทรัมป์เตรียมลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารที่จะเริ่มต้นกระบวนการในการเพิกถอนกฎระเบียบที่กำหนดให้โรงงานผลิตไฟฟ้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ซึ่งข้อกำหนดดังกล่าวในการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโรงงานผลิตไฟฟ้า เป็นกุญแจสำคัญหากสหรัฐต้องการบรรลุเป้าหมายที่เป็นพันธกรณีในความตกลงปารีส
ถึงแม้ว่าทรัมป์จะไม่สามารถล้มข้อตกลงดังกล่าวได้เองโดยฝ่ายเดียว แต่เขาก็สามารถเริ่มต้นกระบวนการในการที่จะนำสหรัฐออกจากข้อตกลงนี้ได้
และหากสหรัฐที่เป็นประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ 2 รองจากจีนถอนตัวออกจากความตกลงปารีส จะนับเป็นความเสียหายใหญ่หลวงต่อความพยายามของทั่วโลกในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน
แต่นั่นจะเป็นการแสดงให้กลุ่มผู้สนับสนุนของทรัมป์เห็นว่า เขารักษาสัญญาที่ให้ไว้ตอนเลือกตั้งว่าจะปกป้องอุตสาหกรรมถ่านหินของสหรัฐ