ที่มา | นสพ.มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | ชาลิสสา สุขเอี่ยม |
เผยแพร่ |
People in Focus – มิเชล บาร์นิเยร์: โดมิโนตัวที่สองในกระดานอียูที่ล้มลง
วันที่ 4 ธันวาคม นับเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส เนื่องจากเป็นครั้งแรกในรอบ 62 ปีที่ได้เกิดการเพิกถอนรัฐบาล ซึ่งทำให้นายมิเชล บาร์นิเยร์ กลายเป็นผู้ที่มีวาระการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีสั้นที่สุดเป็นเวลาเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยทางการเมืองและเคยเป็นถึงอดีตหัวหน้าทีมเจรจาข้อตกลง Brexit ของสหภาพยุโรป โดยต้นธารของเรื่องนี้เรียกได้ว่ามาจากผู้ที่หยิบยื่นโอกาสตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้แก่เขา คือตัวประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงเอง
ด้วยความพารานอยด์ของมาครงว่าจะเกิดการประท้วงขึ้นอีกเหมือนครั้งที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่พอใจจากประชาชนหากเกิดการว่างงานอย่างหนักในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มาครงอัดงบเพื่อให้ภาคเอกชนยังคงสามารถจ่ายเงินให้กับพนักงานได้ มีการเปรียบเปรยว่าเรื่องนี้ทำให้เกิด ‘ออฟฟิศซอมบี้’ เพราะรัฐไม่ได้ช่วยให้บริษัทสามารถขับเคลื่อนการเติบโตภายในได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ มาครงประกาศการเลือกตั้งในทันทีหลังจากที่ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภายุโรปไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง โดยผลการเลือกตั้งทำให้ไม่มีพรรคใดได้รับเสียงข้างมาก การจับมือข้ามขั้วในสภาก็เป็นไปอย่างหลวมๆ เท่านั้น
เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นท่ามกลางเศรษฐกิจของฝรั่งเศสที่กำลังอยู่ในภาวะอ่วมหนัก หนี้สาธารณะของฝรั่งเศสแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.228 ล้านล้านยูโร ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 60% ที่เป็นข้อบังคับของอียู ถึงกับมีการกล่าวว่าฝรั่งเศสกำลังจะเป็นเหมือนกรีซด้วย
เพื่อจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น งบประมาณฉบับใหม่จำเป็นต้องขึ้นภาษีภาคธุรกิจและตัดงบสวัสดิการ ซึ่งรวมถึงเงินบำนาญ สร้างความร้อนระอุภายในสภาฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก ทำให้บาร์นิเยร์ต้องจนมุมและตัดสินใจใช้มาตรา 49.3 ที่อนุญาตให้นายกฯ ผ่านร่างกฎหมายสวัสดิการสังคมโดยปราศจากเสียงในสภา ส่งผลให้พรรคฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาร่วมมือกันเพื่อขับบาร์นิเยร์ออกจากตำแหน่ง ด้วยมีมติไม่ไว้วางใจถึง 331 เสียง
บนกระดานสหภาพยุโรปที่สั่นคลอน ฝรั่งเศสกลายเป็นโดมิโนตัวที่ 2 หลังจากรัฐบาลเยอรมนี ที่เป็นยักษ์ใหญ่ทางอำนาจเศรษฐกิจของยุโรปล่มสลาย ฝรั่งเศสต้องผ่านงบประมาณปี 2025 ให้ได้ภายในวันที่ 20 ธันวาคม ไม่เช่นนั้นจะต้องใช้งบปีนี้ไปจนถึงปีหน้า ซึ่งผลที่ตามมามีแนวโน้มว่าจะเป็นวิกฤตสกุลเงินยูโร สืบเนื่องมาจากหนี้สินของฝรั่งเศสที่เพิ่มขึ้น โดนัลด์ ทรัมป์ เองก็กำลังกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง อีกทั้งรัสเซียสามารถรุกคืบสงครามยูเครนได้อย่างรวดเร็วด้วย ทำให้อดจิตนาการไม่ได้ว่า ฉากทัศน์ต่อไปของยุโรปคือจะมีโดมิโนตัวที่ 3 ให้ล้มตามลงมา และในท้ายที่สุดกระดานแผ่นนี้จะแตกหักออกไป