ถอดรหัสไฟป่าแอลเอ หลักฐานวิกฤตโลกเดือด

AP

ถอดรหัสไฟป่าแอลเอ หลักฐานวิกฤตโลกเดือด

หมายเหตุ: ดร. เพชร มโนประวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ ที่ปรึกษาองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมนานาชาติ และนักสื่อสารประเด็นสาธารณะที่ว่าด้วยการปกป้องธรรมชาติ ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์มติชน ถึงปรากฎการณ์ไฟป่าที่เกิดขึ้นที่นครลอสแอนเจลิส ในรัฐแคลิฟอร์เนีย

๐เหตุการณ์ไฟป่าที่นครลอสแอนเจลิสเกิดขึ้นเป็นประจำในรัฐแคลิฟอร์เนียอยู่แล้ว เหตุใดครั้งนี้ถึงดูร้ายแรงมากกว่าครั้งอื่นๆ ที่ผ่านมา สร้างความเสียหายกับบ้านเรือนประชาชนจำนวนมาก

ในปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศถือว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ไฟป่าทั่วโลกรุนแรงขึ้นและเกิดบ่อยครั้งขึ้น สำหรับกรณีไฟป่าที่ลอสแอนเจลิส สาเหตุเป็นผลสะสมมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบด้วยกัน ประการแรก แคลิฟอร์เนียเผชิญกับภาวะแห้งแล้งต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว ถือว่าเป็นภาวะแห้งแล้งรุนแรง (mega drought) ที่ร้ายแรงที่สุดในรอบ 1,200 ปี ด้วยสภาพภูมิประเทศที่แห้งแล้งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ประจวบเหมาะกับองค์ประกอบที่ 2 คือลมซานตาอานาที่เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติ ที่ปกติเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงไปจนถึงฤดูหนาว แต่กลับขยายระยะเวลานานขึ้นเพราะสภาพอากาศโดยรวมเปลี่ยนแปลง สภาพแห้งแล้งที่มาเจอกับลมที่ทำให้เกิดการกระจายรุนแรงและควบคุมไม่ได้ของไฟ ทำให้ลามไปถึงพื้นที่ที่ไม่เคยได้รับผลกระทบมาก่อน

ADVERTISMENT

สำหรับองค์ประกอบที่ 3 พอภูมิประเทศเจอกับสภาวะอุณหภูมิที่สูงขึ้น การระเหยของน้ำก็มากขึ้นกว่าปกติ และในเวลาฝนตก ก็มักเจอฝนที่ตกหนักมากผิดปกติด้วย กลายเป็นว่าพืชพันธุ์ที่เกิดขึ้นก็มาแห้งตายเพราะภาวะแห้งแล้งต่อเนื่องยาวนาน ทำให้เชื้อเพลิงสะสมมากขึ้น ไฟป่าครั้งนี้มีองค์ประกอบครบจนทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยิ่งทวีความรุนแรง

ปีที่แล้วก็เกิดไฟป่าไม่ต่างกันและเกิดขึ้นรุนแรงมาก ทั้งในส่วนของแคนาดาและแคลิฟอร์เนีย เป็นภาพสะท้อนของรายงานการศึกษาล่าสุดที่ชี้ว่า ไฟป่าที่รุนแรงจะยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นและจะเกิดขึ้นถี่มากขึ้น โดยจะเพิ่มประมาณ 14% ภายในปี 2030 และจะเพิ่มขึ้นเป็นราว 30% ภายในกลางศตวรรษ หากแนวโน้มยังเป็นเช่นนี้ ภายในปี 2100 ไฟป่าที่รุนแรงเหมือนที่ลอสแอนเจลิสจะเพิ่มมากขึ้นถึง 50% แน่นอนว่าไฟป่าที่เคยเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติ แต่ถูกเร่งด้วยสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

ADVERTISMENT

ดร. เพชร มโนประวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ ที่ปรึกษาองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมนานาชาติ และนักสื่อสารประเด็นสาธารณะที่ว่าด้วยการปกป้องธรรมชาติ

๐ ผลกระทบของไฟป่าต่อความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอย่างไร

ไฟป่าที่เกิดขึ้นนอกจากจะทำให้เกิดการอพยพ ยังทำให้เกิดมลพิษหนักมาก PM 2.5 ที่เกิดจากการเผาไหม้ของไฟป่าก็รุนแรงมากด้วย ในเชิงสุขภาพมีการศึกษาแล้วว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองใกล้บริเวณที่เกิดไฟป่าเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจมากถึง 30,000 คนใน 43 ประเทศ นี่เป็นอีกต้นทุนหนึ่งที่ควรมองเมื่อเกิดความเสียหาย ไม่ใช่แค่จำนวนผู้เสียชีวิตเท่านั้น เพราะผลกระทบสะสมรุนแรงมาก ซึ่งหากมีต้นทุนมากขนาดนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องลงทุนมากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้น เพราะหากแก้ปัญหาทีหลัง ราคาที่ต้องจ่ายนั้นสูงมาก ทั้งในเชิงสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ และสุขภาพในระยะยาวด้วย

๐หากเปรียบกับไฟป่าที่เกิดขึ้นในไทยกับที่แอลเอ มันมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

มีความเหมือนในเรื่องของแนวโน้มเพราะอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเมื่อปี 2024 ก็เป็นปีที่อุณหภูมิเฉลี่ยเพิ่มขึ้นสูงที่สุดนับตั้งแต่ยุคหลังอุตสาหกรรม ไทยไม่ได้รอดพ้นจากแนวโน้มนี้เช่นกัน อุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลต่อการระเหยของน้ำ พืชพรรณต่างๆ ในไทยเองก็ประสบปัญหาจากสภาพอากาศสุดขั้ว ความแห้งแล้งยาวนานขึ้น ในขณะเดียวกันในช่วงฤดูร้อนของปี 2024 ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม สังเกตได้ว่าอุณหภูมิความร้อนนั้นไม่ปกติ และร้อนในลักษณะที่แทบจะทนไม่ได้แบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน

ในช่วงเดือนพฤษภาคม ประเทศในภูมิภาคเดียวกันอย่างฟิลิปปินส์ถึงกับต้องปิดโรงเรียน เพราะอากาศร้อนอบอ้าวจนไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้ กรณีไฟป่าที่เกิดขึ้นที่เขาใหญ่ สภาพพืชพรรณที่ผ่านภาวะแห้งแล้งรุนแรงทำให้เป็นการสะสมเชื้อเพลิงจำนวนมาก เพราะฉะนั้นเวลาที่เกิดไฟป่าก็จะรุนแรงมากขึ้น ควบคุมยากขึ้น แม้ว่าจะมีความพยายามในการจัดเชื้อเพลิง สภาพอากาศที่รุนแรงขึ้นทำให้ไม่สามารถจัดการได้ทั้งหมด ไฟป่ามีโอกาสจะที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น แล้วก็ยากที่จะควบคุมมากกว่าแต่ก่อนจากการที่มีเชื้อเพลิงสะสมเป็นจำนวนมาก

๐แม้ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติแต่มีแนวทางป้องกันหรือหนทางในการแก้ไขปัญหาไฟป่าหรือไม่

คำแนะนำขององค์กรวิจัยต่างๆ พยายามเน้นให้รัฐบาลลงทุนมากขึ้นในแง่ของการป้องกัน แต่ถ้าดูงบประมาณในการแก้ปัญหาและป้องกันนั้นน้อยมาก ตั้งแต่งบดับไฟ งบอาสาสมัคร แม้กระทั่งงบเยียวยาเองก็แทบจะไม่มีความสมดุลกัน ในตอนนี้เชื้อเพลิงสะสมที่เยอะขึ้นทำให้โอกาสที่จะเกิดไฟป่าที่ควบคุมไม่ได้นั้นเยอะกว่าแต่ก่อนมาก แนวทางป้องกันที่ดีที่สุดคือป้องกันไม่ได้เกิดไฟที่ควบคุมไม่ได้ ดังนั้นการควบคุมสิ่งที่อาจกลายเป็นเชื้อเพลิง การทำแนวกันไฟ และการติดตามในลักษณะที่ให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมจึงมีความจำเป็น

การศึกษาวิจัยก็จำเป็นต้องเพิ่มขึ้นเช่นกัน เมื่อรู้ว่าที่ไหนมีความเสี่ยง การรับมือและป้องกันก็จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หากงบประมาณในการป้องกันมากขึ้น การป้องกันปัญหาก็จะดีกว่านี้ เพราะเมื่อไฟป่าเกิดขึ้นแล้ว งบประมาณในการไปตามดับไฟนั้นสูงมากและไม่คุ้มกัน การจัดสรรงบประมาณจึงจำเป็นต้องทำให้เป็นระบบมากกว่านี้

๐เมื่อก้าวสู่ปี 2025 ทำให้เหลือเพียงแค่ 5 ปีเท่านั้นในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ อย่างไรก็ดี ความสำเร็จในเรื่องนี้ดูเหมือนจะยาวไกลเป็นอย่างมาก การลดผลกระทบจากเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งเป็นหนึ่งใน SDGs กลับทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง มองเรื่องนี้อย่างไร

ข้อตกลงปารีสเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2015 แต่สามารถกล่าวได้อย่างเป็นทางการแล้วว่าการบรรลุเป้าหมายของข้อตกลงนี้จะไม่เกิดขึ้น โดยข้อตกลงปารีสกำหนดไว้ว่า จะต้องพยายามควบคุมให้อุณหภูมิไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส แต่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเกินกว่าตัวเลขดังกล่าวไปแล้วตั้งแต่ปี 2023 ยังไม่ทันถึงเกณฑ์ที่นักวิทยาศาสตร์กำหนดด้วยซ้ำ สภาพที่เกิดขึ้นคือไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ หลายคนอาจจะรู้สึกวิกฤตยังไม่มาถึง แต่ผลกระทบจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นมาตลอดนั้นรุนแรงมาก อย่างกรณีไฟป่าที่เกิดขึ้นที่ลอสแอนเจลิส มูลค่าอาคารบ้านเรือนที่สูญเสียไปอยู่ที่ตัวเลขเกือบ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมหาศาลมาก ยิ่งถ้าเกิดในประเทศที่ไม่ได้มีกำลังที่จะฟื้นตัวได้เร็ว ก็จะทำให้เป้าหมาย SDGs ห่างไกลมากขึ้น

ข้อตกลงปารีสขีดเส้นตายเดียวกับการบรรลุเป้าหมาย SDGs ที่กำหนดให้ปี 2030 ประเทศภาคีทั่วโลกต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้เกือบครึ่งหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ดูจะห่างไกลมาก จุดเริ่มต้นคือทุกคนต้องยอมรับว่า โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปและกำลังอยู่ในโลกที่ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนไปในทางไหน เพราะว่าสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง หนังตัวอย่างเริ่มเผยโฉมให้เห็นมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภัยพิบัติที่เกิดจากไฟป่า ลมพายุ และน้ำท่วมใกล้ตัวมาทุกที และเป็นความเสียหายไม่ได้เฉพาะทางเศรษฐกิจ แต่รวมถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมในระยะยาวด้วย

อย่างไรก็ตาม เจตจำนงทางการเมืองของรัฐบาลส่วนใหญ่ยังคงหนีไม่พ้นในเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นความสำเร็จทางการเมืองในระยะสั้น สิ่งที่น่ากลัวคือผู้นำของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐคนใหม่ ที่นอกจากจะไม่เชื่อในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้ว ยังพยายามใช้เหตุการณ์ต่างๆ เพื่อให้ได้ประโยชน์ทางการเมือง แทนที่จะยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ไฟป่ารุนแรงขึ้น ถือเป็นเรื่องที่น่ากลัวเป็นอย่างมากในการบรรลุเป้าหมายที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้ให้ไว้

ประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจใหญ่อย่างสหรัฐ ควรแสดงความรับผิดชอบมากขึ้นในการสนับสนุนและแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง แต่เมื่อผู้นำไม่ได้ตระหนักถึงปัญหา ก็ยิ่งทำให้ความหวังในการแก้ปัญหาที่เป็นพันธกิจร่วมกันของโลกยิ่งดูยากเข้าไปใหญ่

“เจตจำนงทางการเมืองเป็นสิ่งที่มาแล้วก็ไป เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไรให้คนส่วนใหญ่เห็นว่าวิกฤตโลกเดือดเป็นเรื่องของทุกคนจริงๆ เป็นเรื่องอนาคตของเราด้วย ไม่เกี่ยวกับแค่ใครคนใดคนหนึ่งที่จะได้รับผลกระทบ ทุกคนมีโอกาสจะเป็นผู้ประสบภัยและมีชะตากรรมร่วมกัน เรามีเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนและข้อตกลงปารีสที่เป็นแรงกดดันในระดับนานาชาติอยู่แล้ว สิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นคือตัวประชาชนพลเมืองเองต้องเรียกร้องด้วยว่า การจัดการกับปัญหาสภาพอากาศสุดขั้วคืออนาคต ความมั่นคง และความปลอดภัยของตนเอง และต้องกระตุ้นให้ภาครัฐลงทุนกับการป้องกันมากกว่านี้” ดร.เพชรกล่าวทิ้งท้าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image