เมื่อวันที่ 20 มีนาคม สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า บิล เกตส์ มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ ยังคงครองแชมป์มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกติดต่อกันเป็นสมัยที่ 4 จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ อันทรงอิทธิพล โดยเกตส์มีมูลค่าทรัพย์สินทั้งสิ้นราว 86,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ ผู้ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีทรัพย์สินลดลง โดยอันดับความร่ำรวยของทรัมป์ตกลงไปมากกว่า 200 อันดับ
สำหรับมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 10 อันดับจากการจัดอันดับของฟอร์บส์ในปีนี้ ส่วนใหญ่เป็นมหาเศรษฐีชาวอเมริกันและอยู่ในแวดวงเทคโนโลยีเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยมีนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ประธานและซีอีโอ ของบริษัท เบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ ตามมาเป็นอันดับ 2 มีทรัพย์สินราว 75,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นายเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์อเมซอน มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเป็น 72,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อยู่อันดับ 3 ตามมาด้วยนายอามันซิโอ ออร์เตก้า เจ้าของเสื้อผ้าแบรนด์ดังชาวสเปน (4) มีทรัพย์สิน 71,300 ล้านดอลลาร์ นายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก โซเชียลมีเดียที่ทรงอิทธิพลของโลก (5) มีทรัพย์สิน 56,000 ล้านดอลลาร์ นายคาร์ลอส สลิม มหาเศรษฐีวงการสื่อสารโทรคมนาคมชาวเม็กซิกัน (6) นายแลร์รี เอลลิสัน ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ออราเคิล คอร์ปอเรชั่น (7) สองพี่น้องตระกูลคอช ชาร์ลส์และเดวิด เจ้าของ คอช อินดัสตรีส์ ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ อยู่อันดับ 8 และ 9 ส่วนนายไมเคิล บลูมเบิร์ก อดีตนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กและผู้ก่อตั้งสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ติดอันดับ 10
ขณะที่จำนวนมหาเศรษฐีโลกมีจำนวนเพิ่มขึ้น 13 เปอร์เซ็นต์จากปีที่แล้ว อยู่ที่ 2,043 คน ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 31 ปีนับแต่นิตยสารฟอร์บส์เริ่มทำสำรวจมหาเศรษฐีโลกมา
ฟอร์บส์ระบุอีกว่า สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีมหาเศรษฐีอยู่มากที่สุด คือ 565 ราย ที่เป็นผลจากมูลค่าตลาดหุ้นของสหรัฐที่เพิ่มสูงขึ้นนับจากชัยชนะของนายทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2559 ตามมาด้วยประเทศจีน ที่มีมหาเศรษฐี 319 ราย และเยอรมนีมี 114 ราย
สำหรับนายทรัมป์ ที่เป็นมหาเศรษฐีในวงการอสังหาริมทรัพย์ มีความร่ำรวยลดฮวบฮาบลงไปถึง 220 อันดับ ไปอยู่อันดับที่ 544 โดยมีมูลค่าทรัพย์สินราว 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งฟอร์บส์ชี้ว่าสาเหตุที่ทรัพย์สินของผู้นำสหรัฐลดลงเป็นผลพวงมาจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ในแมนฮัตตันอ่อนแรงลง ขณะที่ 40 เปอร์เซ็นต์ของทรัพย์สินของนายทรัมป์ถูกตรึงอยู่กับตึกทรัมป์ทาวเวอร์ และอาคารอีก 8 แห่งที่ตั้งอยู่ในรัศมี 1 ไมล์ของทรัมป์ทาวเวอร์
