คำสั่งทรัมป์ทบทวนงบช่วยเหลือทำวุ่น กระทบค่ายผู้ลี้ภัยไทย ก่อนศาลสั่งระงับชั่วคราว
คำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมากที่ประธานาธิบดีโดนัดล์ ทรัมป์ ลงนามในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการสั่งให้มีการระงับความช่วยเหลือของสหรัฐทั้งหมดเพื่อที่รัฐบาลจะได้ทำการทวบทวนเป็นเวลา 90 ส่งแรงสั่นสะเทือนตั้งแต่ไทยไปจนถึงยูเครน สร้างความวิตกกังวลให้กับองค์กรบรรเทาทุกข์ทั่วโลกที่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากสหรัฐ
งบประมาณให้ความช่วยเหลือของสหรัฐมีสัดส่วนมากถึง 42% ของความช่วยเหลือทั่วโลก คิดเป็นมูลค่าถึง 1.39 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือกว่า 4.69 แสนล้านบาท ครอบคลุมตั้งแต่การให้เงินกับหน่วยงานของสหประชาชาติและองค์กรให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรม ซึ่งอาจต้องเผชิญกับข้อจำกัดอย่างหนักหนาสาหัสในการมอบความช่วยเหลือด้านอาหาร ที่พักพิง และการดูแลสุขภาพ หากมีการระงับการให้ความช่วยเหลือเป็นการถาวร
ความช่วยเหลือที่ได้รับผลกระทบยังรวมไปถึงการกำจัดทุ่นระเบิดในเขตสงคราม และยารักษาโรคหลายล้านคนที่ป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น เอชไอวี เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่จะถูกตัดงบประมาณ ขณะที่ทรัมป์กำลังพิจารณาตัดงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศของสหรัฐอย่างหนัก เพื่อให้สอดอคล้องกับนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์ และเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการในภาพใหญ่เพื่อปรับโครงสร้างของรัฐบาล โดยทำเนียบขาวได้สั่งการให้หน่วยงาน 55 แห่งตรวจสอบโครงการให้ทุนมากกว่า 2,600 โครงการ
ในส่วนของประเทศไทย การตัดงบประมาณดังกล่าวส่งผลกระทบกับโรงพยาบาลสนามในค่ายผู้ลี้ภัยต่างๆ ของไทย โดยเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านบรรเทาทุกข์เผยว่าคลินิกในค่ายต่างๆ ในประเทศไทยซึ่งให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยจากเมียนมาประมาณ 100,000 คน ได้รับคำสั่งให้ปิดทำการ หลังจากที่สหรัฐระงับการให้เงินทุนแก่คณะกรรมการกู้ภัยระหว่างประเทศ (IRC)
ขณะเดียวกันมันยังส่งผลกระทบกับการให้ความช่วยเหลือด้านอาหารฉุกเฉินแก่ผู้ลี้ภัยโรฮีนจากว่า 1 ล้านในที่อาศัยอยู่ในบังกลาเทศด้วย แม้ว่าสหรัฐจะระบุว่าได้ยกเว้นการระงับการให้เงินทุนกับบ้างพื้นที่ ซึ่งรวมถึงความช่วยเหลือฉุกเฉินด้านอาหารก็ตาม เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ประจำบังกลาเทศกล่าวว่าองค์กรที่ทำงานด้านที่พักพิงก็ไม่สามารถซื้อวัสดุใหม่เพื่อสร้างและซ่อมแซมบ้านให้ผู้ลี้ภัยได้ด้วยเช่นกัน
การตัดงบประมาณจะส่งผลกระทบต่อการจัดหายารักษาโรคเอชไอวี มาลาเรีย และวัณโรคทั่วโลก ซึ่งผู้คนหลายล้านคนต้องพึ่งพายาเหล่านี้ โดยเมื่อวันที่ 28 มกราคม ผู้รับเหมาและพันธมิตรที่ทำงานร่วมกับองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) เริ่มได้รับแจ้งเพื่อขอให้พวกเขายุติการทำงานทันที
คำสั่งระงับการให้ทุนทำให้ภารกิจของ USAID และพันธมิตรตกอยู่ในความโกลาหล โดยองค์กรหลายแห่งไม่แน่ใจว่าจะเลิกจ้างพนักงาน เริ่มขายทรัพย์สิน เช่น รถยนต์ หรือบอกให้พนักงานลาพักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างหรือไม่ แหล่งข่าวในหน่วยงาน USAID ยังบอกด้วยว่า พวกเขาถูกห้ามไม่ให้สื่อสารกับพันธมิตรที่เคยร่วมงานกัน ยกเว้นการแจ้งว่าได้มีการระงับการให้ทุนกับพวกเขาแล้วเท่านั้น
ไม่เพียงแต่สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไปทั่วโลกแต่ภายในสหรัฐเองก็วุ่นวายหนักไม่แพ้กัน เนื่องจากการระงับโครงการให้ทุนของรัฐบาลที่มีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ยังส่งผลกระทบกับการให้ความช่วยเหลือและโครงการให้บริการแก่ประชาชนภายในสหรัฐ ทำให้เกิดการโต้แย้งจากหลายกลุ่มภายในสหรัฐว่า การระงับงบประมาณดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อโครงการมากมาย ตั้งแต่การให้บริการด้านสุขภาพไปจนถึงการก่อสร้างถนน
พรรคเดโมแครตตำหนิการระงับงบประมาณดังกล่าวว่าเป็นการรุกรานอำนาจของรัฐสภาต่อการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และว่าการระงับงบประมาณดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อการจ่ายเงินให้กับแพทย์และครูอนุบาลแล้ว ขณะที่พรรครีพับลิกันส่วนใหญ่ปกป้องคำสั่งดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นการทำตามสัญญาหาเสียงของทรัมป์ในการควบคุมงบประมาณของสหรัฐ
ฝ่ายบริหารของทรัมป์กล่าวว่าโครงการที่ให้สิทธิประโยชน์โดยตรงกับชาวอเมริกันจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่รอน ไวเดน วุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครตกล่าวว่าสำนักงานของเขาได้ยืนยันแล้วว่า แพทย์ในทั้ง 50 รัฐไม่สามารถรับเงินจากเมดิเคด ซึ่งเป็นบริการที่ให้ความคุ้มครองด้านสุขภาพแก่ชาวอเมริกันรายได้น้อย 70 ล้านคนได้
ล่าสุดลอเรน อาลีข่าน ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐ ได้ออกคำสั่งห้ามชั่วคราวต่อคำสั่งฝ่ายบริหารระงับการให้เงินช่วยเหลือดงกล่าวของทรัมป์ โดยให้เหตุผลว่า มันอาจทำให้เกิดภัยคุกคามที่จะเกิดความเสียหายอันไม่สามารถแก้ไขได้ พร้อมกับกำหนดให้มีการพิจารณาคดีอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ โดยคำสั่งห้ามการระงับงบประมาณจะมีผลบังคับใช้จนถึงเวลา 17.00 น. ของวันดังกล่าว