มาริษยันนำ 5 คนไทยกลับบ้านเมื่อสุขภาพพร้อม แรงงานขอบคุณเหมือนได้ชีวิตใหม่
เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วย นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ น.ส.พรรณภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ และ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และคณะ ได้เดินทางไปยังศูนย์การแพทย์อัล-ชามีร์ เพื่อเยี่ยมตัวประกันชาวไทยทั้ง 5 คนที่ได้รับการปล่อยตัว ประกอบด้วยนายวัชระ ศรีอ้วน นายพงษ์ศักดิ์ แทนนา นายเสถียร สุวรรณคำ นายสุรศักดิ์ ลำเนา และนายบรรวัชร แซ่ท้าว
นายมาริษกล่าวทักทายและสอบถามสภาพร่างกายและความเป็นอยู่ของตัวประกันทั้ง 5 คน ซึ่งทุกคนยินดีและขอบคุณรัฐมนตรีและคณะที่ได้เดินทางจากประเทศไทยมาถึงเทลอาวีฟ ซึ่งพวกเขาได้รับการดูแลอย่างดีจากทีมแพทย์ของโรงพยาบาลและทีมแพทย์ทหารไทย ที่ได้รับการสนับสนุนจากพล.อ.ทรงวิทย์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้พูดคุยกับคนไทยทั้ง 5 คน ทราบว่า มาทำงานอยู่หลายปีแล้ว โดยนายนายเสถียรเล่าว่าเขาทำงานในฟาร์มไก่มากว่า 4 ปีแล้วก่อนถูกจับเป็นตัวประกัน รวมแล้วก็กว่า 5 ปีที่ไม่ได้กลับประเทศไทย ส่วนนายพงษ์ศักดิ์มาเป็นเกษตรกรในอิสราเอลตั้งแต่ปี 2559 รวมแล้วก็กว่า 7 ปีที่ไม่ได้กลับบ้าน ส่วนตัวคิดถึงลูกสาวที่จากมาตั้งแต่ 7 ขวบจนวันนี้จะ 15 ปีแล้ว
นายมาริษกล่าวชื่นชมทุกคนที่มีกำลังใจเข้มแข็ง เมื่อกลับไปประเทศไทยแล้ว อยากเห็นทุกคนนำการเกษตรที่ได้จากการทำงานที่นี่ไปใช้ในประเทศไทย
“อยากเห็นพวกเรานำเอาความรู้ที่ได้รับนำไปใช้ในประเทศไทย ในขณะเดียวกันถ่ายทอดไปยังเกษตรกรในประเทศไทยให้มากที่สุดที่สำคัญที่สุดที่พูดไปแล้วคือ พ่อจะเป็นต้นแบบให้กับลูกเราผ่านประสบการณ์ชีวิตเช่นนี้ ลูกและครอบครัวจะภูมิใจในตัวเรามากที่สุดก็ขอให้รักษาความภาคภูมิใจของครอบครัวเอาไว้ กลับไปประกอบอาชีพช่วยเหลือสังคมให้เจริญก้าวหน้า และสร้างประโยชน์ให้กับสังคม” นายมาริษกล่าว
นายมาริษกล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญที่รัฐบาลอยากเห็นและนายกรัฐมนตรีได้กำชับว่าให้ดูแลสุขภาพของทุกคนให้ดีที่สุดก่อนตัดสินใจเรื่องเดินทางกลับประเทศไทย
ขณะที่นายวัชระกล่าวว่า ดีใจเหมือนได้ชีวิตใหม่กลับมา จึงรู้สึกตื้นตันใจที่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ เช่นเดียวกับ นายสุรศักดิ์ที่เชื่อมั่นมาโดยตลอดว่าจะได้กลับบ้าน แม้ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาก็รอความหวังและผิดหวังมาหลายครั้ง ส่วนนายบรรวัชรก็ดีใจที่ได้กลับบ้านและจะได้พบกับครอบครัวที่จะมีตัวแทนมารับถึงอิสราเอล
สำหรับการเดินทางกลับประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีห่วงเรื่องสุขภาพของทุกคน จึงต้องตรวจสอบให้แน่ชัด แม้สภาพภายนอกทุกคนจะดูแข็งแรงดี แต่ไม่ทราบว่าในจิตใจได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง ก็เป็นโอกาสดีที่ทางโรงพยาบาลได้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะให้การดูแลโดยเฉพาะในเรื่องจิตใจจึงไม่อยากรีบ ตั้งใจว่าอยากจะให้สภาพร่างกายและจิตใจของพี่น้องคนไทยพี่น้องที่ได้ชีวิตใหม่สมบูรณ์ที่สุด
“ต้องขอบคุณผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่ได้ส่งแพทย์ที่เกี่ยวกับสภาพร่างกายและจิตใจอยู่ที่นี่จะช่วยทางอิสราเอลได้อย่างมาก ในการช่วยดูว่าจะมีความพร้อมเมื่อไหร่ ก็จึงจะตัดสินใจ และถือเป็นข่าวดีสำหรับทุกคนที่ครอบครัวจะมารับกลับบ้าน ซึ่งทางอิสราเอลได้ดำเนินการซื้อตั๋วเครื่องบินมาให้ทุกคนได้พบกัน ทางกระทรวงการต่างประเทศก็จะเตรียมการให้อย่างดีที่สุดเมื่อทุกอย่างพร้อม” นายมาริษกล่าว
ในวันเดียวกัน นายมาริษพร้อมคณะยังได้เดินทางไปเยี่ยมแรงงานไทยที่นิคมเกษตรกรรม Moshav Bnei Atarot ในกรุงเทลอาวีฟ โดยได้สอบถามและรับฟังความเป็นอยู่ของแรงงานไทย พร้อมได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รวมทั้งนำทักษะที่ได้รับจากการทำงานในอิสราเอลกลับไปพัฒนาตนเองและประเทศไทย