รู้จัก DEI ส่งเสริมความหลากหลายเท่าเทียม เจอฤทธิ์ทรัมป์สั่งยุบ
เรียกว่าป่วนกันไปถ้วนหน้านับตั้งแต่ “โดนัลด์ ทรัมป์” หวนคืนบัลลังก์ทำเนียบขาวสมัย 2 อย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่เราได้เห็นผู้นำสหรัฐรายนี้เซ็นคำสั่งฝ่ายบริหารออกไปมากมายหลายฉบับ รวมถึงการใช้มาตรการทางภาษีตอบโต้ประเทศที่ทรัมป์อ้างว่าทำการค้าขายที่ไม่เป็นธรรม ปล่อยให้ผู้อพยพและยาเสพติดผิดกฎหมายทะลักเข้ามาสร้างปัญหาในสหรัฐ จนจุดบรรยากาศตึงเครียดทางการค้าอยู่ในเวลานี้ หรือคำสั่งให้ระงับเงินช่วยเหลือสนับสนุนต่างประเทศที่ส่งผลกระทบหนักให้เห็นแล้วต่อผู้คนในพื้นที่เปราะบางอย่างค่ายผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดนไทยซึ่งต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐ
แต่อีกหนึ่งคำสั่งของทรัมป์ที่จะกล่าวถึงในข้อเขียนนี้คือ คำสั่งให้ยกเลิกโครงการสนับสนุนความหลากหลายของรัฐบาลสหรัฐ DEI ที่มีชื่อเต็มว่า โครงการความหลากหลาย ความเสมอภาคและการมีส่วนร่วม (diversity, equity and inclusion programs) และให้ยกเลิกสำนักงานและตำแหน่งงานของรัฐบาลกลางที่เกี่ยวข้องกับโครงการ DEI ทั้งหมด โดยอ้างว่าแนวทางดังกล่าวเป็นการลงโทษผู้สมัครที่มีคุณสมบัติมากกว่าอย่างไม่เป็นธรรม
DEI คืออะไร? โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่มีมานานในการจัดการกับความไม่เท่าเทียมและการเหยียดเชื้อชาติที่ฝังลึกอยู่ในโครงสร้างสังคมอเมริกันมายาวนานหลายศตวรรษ โดยมุ่งสร้างความหลากหลายในที่ทำงานเพื่อให้แน่ใจว่ามีตัวแทนอย่างเท่าเทียมสำหรับกลุ่มคนที่ถูกมองว่าถูกกดขี่ทางประวัติศาสตร์ เช่น คนผิวดำ กลุ่มคน LGBTQ+ ผู้หญิง คนพิการและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ
ความพยายามนี้มีเห็นได้ชัดจากการตรารัฐบัญญัติสิทธิพลเมือง (Civil Rights Act) ที่ประธานาธิบดีลินดอน บี. จอห์นสัน ลงนามไว้ในปี 1964 ซึ่งห้ามการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ สีผิวและเพศ และนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวาง โดยกฎหมายนี้เกิดขึ้นหลังจากเกิดคลื่นการประท้วงมากขึ้นของกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมืองในช่วงทศวรรษ 1950 และ 1960
ส่วนแนวปฏิบัติของ DEI นั้นมีรวมถึงการอบรมเพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติ การจัดการกับปัญหาการเลือกปฏิบัติทางเพศหรือเชื้อชาติในการจ่ายค่าตอบแทน และการเพิ่มโอกาสในการสรรหาบุคลากรและการเข้าถึงชนกลุ่มน้อยที่ด้อยโอกาส
คำสั่งยกเลิก DEI ของทรัมป์ ได้รับเสียงชื่นชมจากกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ แต่ในสายตาของกลุ่มผู้สนับสนุนด้านสิทธิต่างวิจารณ์ไปในทางเดียวกันว่าอาจยิ่งทำให้ความไม่เท่าเทียมในสังคมอเมริกันยิ่งถ่างกว้างและทำลายความก้าวหน้าที่พยายามกันมาต่อเนื่องหลายทศวรรษเพื่อรับรองปกป้องสิทธิพลเมืองของกลุ่มคนที่ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมหรือถูกสังคมปฏิเสธไปอย่างสูญเปล่า
นั่นก็เท่ากับสหรัฐกำลังเดินถอยหลังเข้าคลอง!
