มาตรการรีดภาษีแคนาดา-เม็กซิโก 25% ทำตลาดหุ้นยับ ดาวโจนส์ปิดร่วง 679 จุด – Nasdaq เกือบ 500
จากกรณีที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ระงับมาตรการขึ้นภาษีต่อแคนาดาและเม็กซิโก 25% เป็นเวลา 30 วัน เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ทรัมป์แถลงที่ทำเนียบขาวว่า “แคนาดาและเม็กซิโกจะต้องเจอกับภาษีนำเข้า สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือขึ้นสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ และโรงงานอื่นๆ ในสหรัฐ เพื่อที่จะไม่ต้องจ่ายภาษีในการนำเข้าสินค้าเข้าสู่ตลาดสหรัฐ”
การที่มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้อีกครั้งในวันที่ 4 มีนาคม เวลาเที่ยงคืน (12.01 น.) นั้น ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกตัดสินใจขายหุ้น และทำให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสกุลเงินเปโซของเม็กซิโก รวมถึงดอลลาร์แคนาดาลดลง ครอบคลุมการนำเข้าสินค้ามายังสหรัฐถึง 900,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจของภูมิภาคอเมริกาเหนือ
ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 649.67 จุด หรือ 1.48% ด้าน S&P500 ลดลง 104.78 จุดหรือ 1.76% และดัชนี Nasdaq ร่วงถึง 497.09 จุดหรือ 2.64%
ทรัมป์เน้นย้ำด้วยว่า จะไม่มีการเจรจาเพื่อให้เกิดข้อตกลงใดๆ ที่จะทำให้สหรัฐไม่ดำเนินการขึ้นภาษี ซึ่งเป็นผลมาจากการที่มียาเฟนทานิลหลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐ
ด้าน ประธานาธิบดีจัสติน ทรูโด ของแคนาดา กล่าวว่า จะดำเนินการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐที่มีมูลค่ารวมถึง 107,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในจำนวน 25% เช่นกันเดียวกัน ขณะที่ นางคลอเดีย ไชน์บาว์ม ประธานาธิบดีเม็กซิโก เคยกล่าวว่า เม็กซิโกมีแผนสำรอง B, C, D
ในกรณีขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน ทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐจะดำเนินมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนอีกจาก 10% เป็น 20% เนื่องจากรัฐบาลจีนไม่สามารถที่จะยุติการส่งเฟนทานิลมายังสหรัฐได้ โดยทางรัฐบาลก็ไม่ได้จัดการในเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด ส่งผลให้กระทรวงพาณิชย์จีนแถลงว่า จะดำเนินมาตรการตอบโต้ และชี้ว่าการดำเนินการขึ้นภาษีของสหรัฐเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลและอันตรายต่อผู้อื่น