รัฐบาลทรัมป์ประกาศหันหลังให้เป้าหมาย SDGs ลั่นขัดกับผลประโยชน์ชาวอเมริกัน
ในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติว่าด้วยวันสันติภาพในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ นายเอ็ดเวิร์ด ฮาร์ตนีย์ อัครราชทูตที่ปรึกษาประจำสหประชาชาติของสหรัฐ กล่าวถ้อยแถลงว่า วาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติปี 2030 ไม่สอดคล้องกับอธิปไตยของสหรัฐ และขัดกับผลประโยชน์ของชาวอเมริกัน ทำให้สหรัฐกลายเป็นประเทศสมาชิกสหประชาชาติประเทศแรกที่ละทิ้งความพยายามในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ที่ประเทศสมาชิกสหประชาชาติ 193 ประเทศ ให้ได้คำมั่นสัญญาว่าจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวร่วมกันภายในปี 2030
สหรัฐภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามาประกาศร่วมกับประเทศสมาชิกสหประชาชาติอีก 192 ประเทศว่าจะช่วยขับเคลื่อนเป้าหมาย SDGs ให้สำเร็จผลเมื่อปี 2015 โดยเป้าหมายดังกล่าวนั้นเป็นเป้าหมายระดับโลกเพื่อขจัดความหิวโหย เสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมสันติภาพ สุขาภิบาลที่ดี ความเป็นอยู่ที่ดี ตลอดจนการมีงานทำ
ทั้งนี้ ในช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งล่าสุด นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบัน กล่าวว่า “การขับเคลื่อนเพื่อบรรลุวาระการพัฒนาอย่างยั่งยืนในปี 2030 แพ้ตั้งแต่การหย่อนบัตรลงหีบเลือกตั้ง” เพราะรัฐบาลสหรัฐจะให้ความสำคัญกับชาวอเมริกันมาเป็นลำดับแรก
ฮาร์ตนีย์กล่าวเพิ่มว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มีทิศทางที่ชัดเจนในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งถือเป็นเป้าหมาย SDG ข้อที่ 13 โดยทรัมป์สนับสนุนการขุดเจาะก๊าซและน้ำมัน ทั้งยังเคยประกาศถอนตัวจากข้อตกลงปารีส ไปจนถึงการกำหนดเพศสภาพที่จะมีเพียง 2 เพศ ได้แก่ เพศหญิงและเพศชาย ซึ่งขัดต่อเป้าประสงค์ของ SDGs ที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
นายสเตฟาน ดูจาริค โฆษกเลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวโต้กลับในเหตุการณ์นี้ว่า การที่ประเทศสมาชิกสหประชาชาติ 193 ประเทศให้คำมั่นสัญญาร่วมกันว่าจะขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นหนทางในการลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความไว้เนื้อเชื้อใจระหว่างกัน ไปจนถึงส่งเสริมความเป็นเอกภาพ
“เป้าหมายดังกล่าวยังคงเป็นหลักคิดนำทางเพื่อสันติภาพ ความมั่นคงและความมีเกียรติและศักดิ์ศรีสำหรับทุกคน ที่จะนำมาสู่อนาคตที่ดีขึ้น ปลอดภัยขึ้น มั่งคั่งขึ้นและยั่งยืนด้วย” ดูจาริคกล่าว
