ที่มา | นสพ.มติชน |
---|---|
ผู้เขียน | เสกขภูมิ วรรณปก [email protected] |
เผยแพร่ |
บรรดาผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) เฉลิมฉลองการครบรอบ 60 ปีของกลุ่มที่กรุงโรมประเทศอิตาลี และได้ลงนามในปฏิญญาที่ออกแบบมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม แต่ในหลายๆ แง่มุมกลับเผยให้เห็นว่ายุโรปมีความแตกแยกมากเพียงใด
ก่อนหน้าการประชุมเพียงไม่กี่วัน โปแลนด์และกรีซขู่ว่าจะล้มแถลงการณ์ ทำให้บรรดานักการทูตต้องเร่งมือในการปรับแก้ถ้อยคำและรายละเอียดสำคัญจากร่างปฏิญญาฉบับแรกเมื่อวันที่ 16 มีนาคมไปอย่างมาก จนโปแลนด์ตกลงที่จะลงนามในแทบจะวินาทีสุดท้าย
ร่างสุดท้ายของปฏิญญา อ้างอิงจากสำนักข่าวเอเอฟพี ขึ้นต้นด้วยการที่บรรดาผู้นำ 27 ชาติสมาชิกอียู อันปราศจากสหราชอาณาจักร และผู้นำของฝ่ายบริหารและสถาบันต่างๆ ของอียูประกาศถึง “ความภาคภูมิใจในความสำเร็จ” ของสหภาพที่มี “ความพิเศษเป็นหนึ่งเดียว” ในการสร้างทวีปขึ้นมาใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ปฏิญญาระบุเชิดชู “สันติภาพ เสรีภาพ ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และหลักนิติรัฐ” ในยุโรปตลอดช่วง 60 ปีที่ผ่านมา
ทว่ากรีซที่ต้องรับความช่วยเหลือทางการเงิน เป็นแกนนำในการต่อต้านนโยบายรัดเข็มขัดของกลุ่มประเทศยุโรปเหนือ โดยขู่ว่าจะขัดขวางการออกปฏิญญาหากไม่มีการระบุถึงการปกป้องสิทธิทางสังคม
ทำให้ร่างปฏิญญาสุดท้ายต้องเพิ่มถ้อยคำว่า อียูไม่ได้เป็นเพียงแค่ “มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ” เท่านั้น แต่ยังเป็นประชาคมที่ “มีความไม่คู่ขนานกันของระดับการปกป้องทางสังคมและสวัสดิการอยู่ด้วย” ตามที่กรีซร้องขอ
ปฏิญญาโรมระบุว่า อียูกำลังเผชิญกับ “ความท้าทายที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน” ทั้ง “ความขัดแย้งในภูมิภาค การก่อการร้าย แรงกดดันจากจำนวนผู้อพยพที่หลั่งไหลเข้ามา การกีดกันทางการค้า และความเหลื่อมล้ำทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม”
ไม่มีการกล่าวถึงการลงประชามติอันน่าตกตะลึงของสหราชอาณาจักรในการตัดสินใจออกจากการเป็นสมาชิกอียู หรือเบร็กซิทแต่อย่างใด
ขณะที่ประเด็นผู้อพยพซึ่งเป็นปัญหาท้าทายใหญ่หลวงของยุโรปในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการตัดถ้อยคำว่า “อย่างมีมนุษยธรรม” ออกไป คงเหลือไว้เพียงว่า “นโยบายผู้อพยพที่มีประสิทธิผล มีความรับผิดชอบ และยั่งยืน”
ในเรื่องที่ยากลำบากที่สุดคือ “มัลติสปีด ยุโรป” ซึ่งเป็นแนวคิดที่เยอรมนีและฝรั่งเศสผลักดัน แต่ถูกคัดค้านโดยโปแลนด์
แนวคิดดังกล่าวเน้นการรวมกลุ่มที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นทางเศรษฐกิจ ซึ่งโปแลนด์ ประเทศที่มีเศรษฐกิจเข้มแข็งที่สุดในยุโรปตอนกลางแต่เป็น 1 ใน 9 ของชาติสมาชิกอียูปัจจุบันที่ไม่ได้ใช้เงินสกุลยูโร เกรงว่าจะเกิดปัญหาที่ทำให้ประเทศนอกยูโรโซนถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
ทำให้ในร่างปฏิญญาสุดท้ายต้องมีการเพิ่มถ้อยคำที่ระบุว่า “เอกภาพเป็นสิ่งจำเป็นแต่ก็เป็นสิ่งที่เราสามารถเลือกได้อย่างเสรีด้วย”