สหรัฐ เปิดรายงานการกีดกันการค้ากับประเทศคู่ค้า ก่อนทรัมป์เก็บภาษีศุลกากรต่างตอบแทนทุกชาติ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐได้เผยแพร่รายงานประเมินการกีดกันทางการค้ากับประเทศคู่ค้าประจำปีของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) เมื่อวันที่ 31 มีนาคม เพียง 2 วันก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะเริ่มเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้แก่ทุกประเทศคู่ค้า
รายงานดังกล่าวได้ระบุข้อมูลเกี่ยวกับอัตราภาษีศุลกากรโดยเฉลี่ยที่ประเทศคู่ค้าและอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร ตั้งแต่กฎระเบียบความปลอดภัยด้านอาหารไปจนถึงข้อกำหนดของพลังงานหมุนเวียนและกฎการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ
โดยภาษีศุลกากรตอบโต้ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่จะมีผลในวันที่ 2 เมษายนนี้มีเป้าหมายเพื่อจัดเก็บภาษีประเทศคู่ค้าให้เท่ากับที่ประเทศคู่ค้าดังกล่าวตั้งกำแพงภาษีกับสินค้าของสหรัฐ เพื่อเป็นการลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐอเมริกา
นายปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของทำเนียบขาวสหรัฐมักวิจารณ์การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศในสหภาพยุโรป (อียู) แต่รายงานของยูเอสทีอาร์ไม่ได้ระบุเจาะจงว่าภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นอุปสรรคทางการค้าเมื่อพูดถึงนโยบายของอียู แต่ให้ความสำคัญไปที่การเก็บภาษีบริการดิจิทัลและมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของอียู (Carbon Border Adjustment Mechanism) แต่ระบุว่าภาษีมูลค่าเพิ่มและการดำเนินการนั้นสร้างความลำบากให้กับการนำเข้าสินค้าสหรัฐในบางประเทศ อาทิ อาร์เจนตินา เม็กซิโก และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และรายงานระบุว่าจีนใช้การคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อส่งเสริมการส่งออกสินค้าบางประเภทซึ่งถือเป็นการอุดหนุนอย่างหนึ่ง
นอกจากนั้น รายงานดังกล่าวยังระบุว่าอุปสรรคทางการค้าหลายประการเป็นอุปสรรคในด้านเทคนิคหรือเป็นผลมาจากระเบียบข้อบังคับของรัฐบาลที่ปิดกั้นการส่งออกสินค้าของสหรัฐบางรายการ อาทิ การที่อียูชะลอการอนุมัติการนำเข้าพืชผลที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมของสหรัฐหรือการแบนการนำเข้าสินค้าเกษตรที่มีสารตกค้างของยาฆ่าแมลงบางชนิด
รายงานประเมินการกีดกันทางการค้ากับประเทศคู่ค้ายังระบุถึงข้อกำหนดใหม่ของอียูเกี่ยวกับปริมาณขั้นต่ำของวัสดุรีไซเคิลจากบรรจุภัณฑ์พลาสติกหลังการบริโภคว่าอาจเป็นการสร้างอุปสรรคที่ไม่เป็นธรรมแก่สินค้าส่งออกของสหรัฐ โดยบอกว่าสหรัฐจะทำงานร่วมกับอียูในการบังคับใช้กฎดังกล่าว รวมถึงเน้นย้ำถึงที่มาของข้อพิพาททางการค้าที่มีมาอย่างยาวนาน อาทิ ระบบการจัดการช่วงโซ่อุปทานของแคนาดาในอุตสาหกรรมนม สัตว์ปีก และไข่ ซึ่งมีการจำกัดการผลิตผ่านโควต้านำเข้าและมีการกำหนดภาษีสูง โดยสินค้าที่อยู่นอกโควต้าภาษี อาทิ ชีสจะเจอกับภาษี 245% และเนยเจอกับภาษีสูงถึง 298%
นายเจมสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐกล่าวว่า ไม่มีประธานาธิบดีสหรัฐในยุคสมัยใหม่คนใดที่มองเห็นถึงอุปสรรคทางการค้าที่กว้างและเป็นอันตรายต่อผู้ส่งออกของสหรัฐไปมากกว่าประธานาธิบดีทรัมป์ แต่รายงานดังกล่าวความยาว 397 หน้าไม่ได้พูดถึงผลกระทบของแผนภาษีศุลกากรตอบโต้ของทรัมป์