หุ้นโลกร่วงต่อเนื่อง ตลาดมะกันดิ่งรายวันหนักสุดรอบ 8 ปี ‘ทรัมป์’ ยังโวไปได้ดี
ดัชนีหุ้นหลักของสหรัฐปรับตัวลดลงรายวันมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2020 เมื่อวันที่ 3 เมษายน ตามเวลาสหรัฐ ขณะที่เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐก็อ่อนค่าลง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ขึ้นภาษีการค้าเป็นวงกว้างและเป็นอัตราภาษีที่สูงกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ ทำให้เกิดความหวั่นกลัวว่าอาจทำให้เศรษฐกิจไปสู่ภาวะถดถอยทั่วโลก ทำให้ผู้ลงทุนหันไปหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เช่น พันธบัตรและเงินเยนแทน
ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐสูญเสียมูลค่าตลาดรวมกัน 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ ถือเป็นการสูญเสียในวันเดียวครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่การระบาดของไวรัสโคโรนาที่ส่งผลกระทบต่อตลาดโลกเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2020
ดัชนี Nasdaq Composite ร่วงหนักที่สุดในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทของสหรัฐ โดยปิดลดลง 5.97% ซึ่งเป็นการร่วงลงรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 ขณะที่ดัชนี S&P 500 และดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones ก็ถือว่าลดลงรายวันสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2020
นักลงทุนหวั่นไหวและตกตะลึงกับความรุนแรงของการจัดเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าพื้นฐาน 10% และการจัดเก็บภาษีศุลกากรต่างตอบแทนที่สูงเกินไปสำหรับประเทศต่างๆ หลายสิบประเทศที่ทรัมป์กล่าวว่ามีการกำหนดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมกับสหรัฐ
ความหวั่นกลัวว่าข้อพิพาททางการค้ารุนแรงที่จะเกิดขึ้นตามมา อาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอย่างรุนแรงและส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้น โดยภาษีการค้ารอบล่าสุดของสหรัฐดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกที่เพิ่งฟื้นตัวจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นหลังการระบาดใหญ่ ตามด้วยการรับมือกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
ปีเตอร์ ทัซ ประธาน Chase Investment Counsel ในเมืองชาร์ลอตส์วิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย กล่าวว่า เขามองว่าการที่ตลาดดิ่งลงในวันนี้เป็นการรีเซ็ทความคาดหวังในอนาคตของนักลงทุนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังใดๆ เกี่ยวกับรายได้และกำไรของบริษัทส่วนใหญ่ในสหรัฐและทั่วโลกต่างถูกปรับลดลง ตลาดสะท้อนถึงการเติบโตที่ลดลง กำไรที่ลดลง และรายรับที่ลดลงไปพร้อมๆ กัน
หุ้นของ Apple ร่วงลง 9.2% จากภาษีนำเข้าจากจีน ซึ่งเป็นฐานการผลิตส่วนใหญ่ของบริษัท Amazon ปรับลดลง 9% Microsoft ร่วงลง 2.4% และ Nvidia NVDA ก็ลดลง 7.8%
ดัชนีเทคโนโลยี S&P 500 ร่วงลง 6.9% ดัชนีพลังงาน S&P 500 ร่วงลง 7.5% โดยราคาน้ำมันร่วงลงมากกว่า 6% ในวันนี้
ดัชนีความผันผวน CBOE (VIX) หรือที่รู้จักกันในชื่อดัชนีวัดความกลัวของวอลล์สตรีท พุ่งขึ้นแตะระดับ 30.02 ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่ 5 สิงหาคม 2024
ดัชนี Dow ลดลง 1,679.39 จุด หรือ 3.98% สู่ระดับ 40,545.93 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 274.45 จุด หรือ 4.84% สู่ระดับ 5,396.52 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 1,050.44 จุด หรือ 5.97% สู่ระดับ 16,550.61 จุด
ดัชนี MSCI ทั่วโลก ลดลง 28.47 จุด หรือ 3.41% สู่ระดับ 807.64 ซึ่งถือเป็นการลดลงรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2022
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยยูโรแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และล่าสุดเพิ่มขึ้น 1.74% สู่ระดับ 1.1037 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ดอลลาร์อ่อนค่าลง 1.95% เทียบกับเยนญี่ปุ่น สู่ระดับ 146.445 เยน
ในยุโรป กลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 27 ประเทศต้องเผชิญกับการจัดเก็บภาษีตอบแทน 20% ทำให้ดัชนี STOXX 600 ของยุโรปทั้งหมดลดลง 2.57%
ภาษีทรัมป์ยังส่งผลกระทบต่อเอเชียอย่างหนัก โดยจีนถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้ 34% ญี่ปุ่น 24% เกาหลีใต้ 25% และเวียดนาม 46%
ไนเจล กรีน ซีอีโอของ deVere Group ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินระดับโลกกล่าวว่า นี่คือวิธีทำลายเครื่องยนต์เศรษฐกิจของโลก ในขณะที่อ้างว่าเพิ่มพลังให้มัน
ทรัมป์กล่าวกับนักข่าวที่ทำเนียบขาวว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะกลับมาเฟื่องฟู เนื่องจากภาษีนำเข้าขั้นต่ำ 10% ที่เขาตั้งใจจะเรียกเก็บจากสินค้าที่นำเข้า โดยหวังว่ามันจะช่วยเพิ่มรายได้ของรัฐบาลกลางและนำการผลิตของสหรัฐกลับสู่ประเทศ
การดำเนินการดังกล่าวของทรัมป์ถือเป็นการพลิกกลับนโยบายเสรีนิยมที่กำหนดรูปแบบการค้าโลกในปัจจุบันที่มีสหรัฐรับบทผู้นำมาหลายทศวรรษ
“ผมคิดว่ามันกำลังไปได้ดีมากๆ มันเป็นการดำเนินการเหมือนกับเมื่อคนไข้เขารับการผ่าตัด และมันเป็นเรื่องใหญ่ ผมบอกว่ามันจะเป็นแบบนี้แหละ ตลาดจะเฟื่องฟู หุ้นจะเฟื่องฟู ประเทศจะเฟื่องฟู” ทรัมป์ระบุ
ประธานาธิบดีสหรัฐยังกล่าวอีกว่า เขาเปิดกว้างและยินดีที่จะเจรจากับพันธมิตรทางการค้าเกี่ยวกับภาษีศุลกากร ถ้ามีใครพูดว่าจะให้สิ่งที่ยอดเยี่ยมกับเรา
ขณะที่ ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ออกมาเรียกร้องให้บริษัทในยุโรประงับแผนการลงทุนในสหรัฐ
ด้านองค์การการค้าโลกออกมาแสดงความกังวลอย่างยิ่ง พร้อมทั้งระบุว่าปริมาณการค้าอาจหดตัวลง 1% ในปีนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า ภาษีทรัมป์อาจทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจในยุโรปลดลงเกือบ 1% และผลกระทบอาจเกิดขึ้นเพิ่มเติมหากยุโรปดำเนินมาตรการตอบโต้กลับ
ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะถดถอย หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ อาทิ การลดภาษีครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรัมป์สัญญาว่าจะดำเนินการเช่นกัน อย่างไรก็ดีเป้าหมายของทรัมป์ในการส่งเสริมการผลิตในประเทศนั้นเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาหลายปีในการดำเนินการในกรณีที่มันเกิดขึ้น แต่ในระหว่างนี้ ภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าที่สูงจะเป็นภาระโดยตรงต่อเศรษฐกิจ และมันจะทำให้เกิดประโยชน์อย่างจำกัดในระยะสั้นเท่านั้น
ราคาน้ำมันดิบลดลงหลังจากที่กลุ่ม OPEC+ ตกลงที่จะเพิ่มปริมาณการผลิตแบบกะทันหัน หนึ่งวันหลังจากที่ทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีใหม่ ราคาซื้อขายล่วงหน้าของน้ำมันดิบเบรนท์ ปิดที่ 70.14 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง 4.81 ดอลลาร์ หรือ 6.42% ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสของสหรัฐปิดที่ 66.95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง 4.76 ดอลลาร์ หรือ 6.64%
ด้านราคาทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทที่ 3,160 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนจะปรับลดลง 0.85% มาอยู่ที่ 3,106.99 ดอลลาร์ต่อออนซ์