ระบาดหนัก! ผู้ป่วยโรคหัดรายที่ 3 เสียชีวิตในสหรัฐ
เจ้าหน้าที่รัฐเท็กซัสระบุว่า เด็กนักเรียนรายที่ 2 เสียชีวตหลังเข้ารับการรักษาตัวด้วยโรคหัดและเสียชีวิตจากปอดล้มเหลว ทำให้ยอดผู้เสีชีวิตจากโรคหัดในสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 3 ราย นับตั้งแต่ไวรัสดังกล่าวเริ่มแพร่ระบาดในพื้นที่ทางตะวันตกของรัฐเท็กซัสช่วงปลายเดือนมกราคม
โรเบิร์ต เอฟ. เคเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีสาธารณสุขสหรัฐ กล่าวว่า เด็กรายนี้ซึ่งมีอายุ 8 ขวบเสียชีวิตเมื่อวันที่ 3 เมษายน เคเนดีระบุว่า เขาได้เดินทางไปยังเท็กซัสในวันที่ 6 เมษายน เพื่อปลอบใจครอบครัวของเด็ก
แม้ว่าเคเนดีจะเป็นผู้ที่แสดงจุดยืนต่อต้านการฉีดวัคซีนมาโดยตลอด แต่ล่าสุดเขาก็ระบุว่า การฉีดวัคซีนเป็นวิธีป้องกันโรคหัดที่ดีและมีประสิทธิภาพที่สุด โดยขณะนี้มีการยืนยันผู้ป่วยที่เป็นโรคหัดแล้ว 642 คน และในจำนวนนี้ 499 คนอยู่ในเท็กซัส
ขณะที่โฆษกของระบบบริการสุขภาในเมืองลับบ็อก รัฐเท็กซัส ยืนยันว่า เดซี่ ฮิลเดอบรานด์ วัย 8 ขวบ ที่เพิ่งเสียชีวิตไม่ได้รับวัคซีน และกำลังเข้ารับการรักษาอาการภาวะแทรกซ้อนจากโรคหัด
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ตอบคำถามเมื่อถูกถามถึงการเสียชีวิตจากโรคหัดในสหรัฐว่า หากการระบาดยังดำเนินต่อไป รัฐบาลจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพื่อจัดการกับมัน
ด้านศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (ซีดีซี) ระบุบนเว็บไซต์ว่าวัคซีนถือเป็นการป้องกันโรคหัดที่ดีที่สุด โดยโรคดังกล่าวแพร่กระจายทางอากาศเมื่อผู้ติดเชื้อจามหรือไอ อย่างไรก็ดี วัคซีนป้องกันโรคหัดจะมีประสิทธิภาพ 97% หลังจากได้รับการฉีดไปแล้ว 2 ครั้ง
การแพร่ระบาดของโรคหัดในเด็กทำให้ขณะนี้มีผู้ป่วยเกือบ 500 รายในเท็กซัส และยังแพร่กระจายไปในอีก 22 รัฐของสหรัฐ ขณะที่เมื่อวันศุกร์ กรมบริการสุขภาพของรัฐเท็กซัสรายงานว่า พบผู้ป่วยโรคหัดรายใหม่ 59 คนใน 3 วัน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 15% ทำให้มีผู้ป่วยทั้งหมด 481 คนในเท็กซัสนับตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม
ขณะเดียวกันยังพบการแพร่ระบาดของโรคหัดในรัฐอื่นๆ เช่น นิวเม็กซิโกและโอคลาโฮมา นอกจากนี้ ผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับวัคซีนในรัฐนิวเม็กซิโก 1 รายยังตรวจพบว่าติดเชื้อโรคหัดหลังจากเสียชีวิตในเดือนมีนาคม
เมื่อวันที่ 3 เมษายน ซีดีซีรายงานว่ามีผู้ป่วยโรคหัดเพิ่มขึ้น 124 รายต่อสัปดาห์ทั่วประเทศ ทำให้มีผู้ป่วยรวม 607 รายในปีนี้ เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วยที่รายงานทั้งหมด 285 รายในปี 2024 ทั่วประเทศ
เจ้าหน้าที่ซีดีซีระบุว่า ผู้ป่วยในสหรัฐ 97% ไม่ได้รับวัคซีนหรือมีสถานะการฉีดวัคซีนที่ไม่ทราบแน่ชัด