ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีจีนอีก 50% หากไม่ถอนการตอบโต้ ยันจะไม่ระงับภาษี บีบชาติอื่นเจรจา
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ขู่ว่าเขาจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 50% หากจีนไม่ถอนมาตรการตอบโต้ทางการค้าที่ประกาศบังคับใช้กับสหรัฐ หลังจากที่สหรัฐประกาศปรับขึ้นภาษีที่เรียกเก็บกับจีนและกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา
ทรัมป์กล่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 7 เมษายน ยืนยันว่า เขาไม่ได้พิจารณาที่จะระงับการขึ้นภาษีใหม่เพื่อให้การเจรจากับประเทศอื่นๆ ดำเนินต่อไป โดยระบุว่า “เราไม่ได้มองไปที่การหยุดเก็บภาษีใหม่ มีหลายประเทศที่กำลังเจรจากับเรา และมันจะต้องมีข้อตกลงที่ยุติธรรม”
ทรัมป์กล่าวด้วยว่า การเก็บภาษีอาจมีทั้งในรูปแบบถาวรและการเจรจา เพราะเรามีหนี้ 36 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐก็ด้วยเหตุผลเหล่านี้ สหรัฐจะเจรจากับจีนและประเทศอื่นๆ เพื่อทำข้อตกลงที่ยุติธรรมและต้องเป็นข้อตกลงที่ดี พร้อมบอกว่า “ตอนนี้คือ ‘อเมริกามาก่อน’ แล้ว”
ทรัมป์ย้ำคำขู่ที่ขึ้นภาษีนำเข้าอีก 50% สำหรับสินค้าจีน หากปักกิ่งไม่ถอนแผนภาษีตอบโต้สหรัฐภายในวันที่ 8 เมษายนนี้ ซึ่งหากมีการเก็บภาษีดังกล่าวเพิ่มขึ้นจริง จะทำให้บริษัทในสหรัฐที่นำเข้าสินค้าบางประเภทจากจีนอาจต้องเสียภาษีถึง 104%
ทรัมป์กล่าวขณะประกาศขึ้นภาษีต่างตอบแทนทั่วโลกเมื่อวันพุธสัปดาห์ก่อนว่า เขาจะเรียกเก็บภาษี 34% สำหรับการนำเข้าสินค้าจากจีนที่เขาให้คำจำกัดความว่าเป็น “วันปลดปล่อยสหรัฐ” หากทรัมป์เรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมกับจีนตามคำขู่ดังกล่าวจริง บริษัทในสหรัฐจะต้องจ่ายภาษีรวมกับสินค้านำเข้าจากจีนสูงถึง 104% โดยคิดเพิ่มขึ้นจากภาษี 20% ที่มีการเรียกเก็บกับจีนมาตั้งแต่เดือนมีนาคม และภาษีอีก 34% ที่ทรัมป์ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ในโพสต์บนแพลตฟอร์มโซเชียล Truth Social ของทรัมป์ระบุว่า เขาจะขึ้นภาษีเพิ่มเติมอีก เว้นแต่จีนจะถอนภาษีตอบโต้ 34% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐที่ประกาศเมื่อวันที่ 4 เมษายน
“จีนได้ออกมาตรการตอบโต้ แม้จะได้รับคำเตือนจากผมว่า หากประเทศใดตอบโต้สหรัฐด้วยการขึ้นภาษีเพิ่มเติม ก็จะได้รับการตอบสนองด้วยการเก็บภาษีใหม่ที่สูงขึ้น” ทรัมป์ระบุ
หลิว เผิงหยู่ โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนในสหรัฐระบุผ่านแถลงการณ์ว่า การกดดันหรือขู่เข็ญจีนไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้องในการเจรจา การเคลื่อนไหวของสหรัฐในนามของ “มาตรการต่างตอบแทน’ มีเป้าหมายเพียงเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผลประโยชน์ส่วนตัวของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์อันชอบธรรมของประเทศอื่น และทำให้ “อเมริกาต้องมาก่อน” มีความสำคัญเหนือกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศ” และว่า “นี่คือการกระทำแบบฝ่ายเดียว การคุ้มครองตัวเองทางการค้า และการกลั่นแกล้งข่มขู่ทางเศรษฐกิจ”
โพสต์ของทรัมป์ยังระบุด้วยว่าการเจรจาเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าของประเทศต่างๆ จะเริ่มดำเนินการทันที โดยทรัมป์ได้พบกับนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ซึ่งเจอกับภาษีเพิ่มเติมอีก 17% ที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 7 เมษายน นายเนทันยาฮูกล่าวว่า อิสราเอลจะขจัดความไม่สมดุลทางการค้ากับสหรัฐ ซึ่งเขามองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง “เราตั้งใจจะดำเนินการโดยเร็วที่สุด และเราจะขจัดอุปสรรคทางการค้าด้วย”
ทรัมป์ยังโพสต์ก่อนหน้านี้ว่า ญี่ปุ่นจะส่งคณะเจรจาเพื่อหารือเรื่องภาษีนำเข้าสินค้ามายังสหรัฐด้วย
ด้านอัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เสนอข้อตกลง “ภาษีนำเข้าศูนย์ต่อศูนย์” ต่อทรัมป์ แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะบอกว่าเธอไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ที่จะทำการตอบโต้ก็ตาม โดยระบุว่า “เราพร้อมที่จะตอบโต้ด้วยมาตรการตอบโต้และปกป้องผลประโยชน์ของเรา”
ขณะที่รอยเตอร์รายงานโดยอ้างเอกสารที่เห็นว่า คณะกรรมาธิการยุโรปเตรียมเสนอให้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐในอัตรา 25% รวมถึงถั่วเหลือง ถั่ว และไส้กรอก แม้ว่าสินค้าอื่นๆ เช่น วิสกี้เบอร์เบิน จะไม่รวมอยู่ในรายการก็ตาม
มารอส เซฟโควิช กรรมาธิการด้านการค้าของสหภาพยุโรปกล่าวระหว่างแถลงข่าวว่า พวกเขาพร้อมที่จะเจรจาข้อตกลง “ศูนย์ต่อศูนย์” กับรัฐบาลของทรัมป์ เพราะไม่ว่าจะช้าหรือ เราจะต้องนั่งโต๊ะเจรจากับสหรัฐ และหาทางประนีประนอมที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้
กลุ่มประเทศในสหภาพยุโรปทั้ง 27 ชาติกำลังดิ้นรนกับภาษีนำเข้ารถยนต์และเหล็กของสหรัฐที่มีอยู่แล้ว และเผชิญกับภาษีนำเข้า 20% สำหรับสินค้าอื่นๆ ที่จะมีผลบังคับใช้ในววันที่ 9 เมษายน ทรัมป์ยังขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของสหภาพยุโรปอีกด้วย