วอลล์สตรีทพุ่งครั้งประวัติการณ์ S&P ปรับขึ้น 9.5% รมว.คลังมะกันอ้าง เป็นกลยุทธ์แต่แรก ภาษี 10% ยังอยู่

AP

วอลล์สตรีทพุ่งครั้งประวัติการณ์ S&P ปรับขึ้น 9.5% รมว.คลังมะกันอ้าง เป็นกลยุทธ์แต่แรก ภาษี 10% ยังอยู่

ตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐในวอลล์สตรีทพุ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในวันที่ 9 เมษายน ตอบรับคำประกาศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการระงับการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากับประเทศอื่นๆ ออกไป 90 วัน ไม่กี่ชั่วโมงหลังภาษีทรัมป์มีผลบังคับใช้ ซึ่งส่งผลดีต่อตลาดหุ้นที่ดีดขึ้นรับข่าวดังกล่าวทันที

ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 9.5% ถือว่าพุ่งสูงที่สุดในหนึ่งวันเป็นอันดับ 3 นับตั้งแต่ปี 1940 ขณะที่ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ก็พุ่งขึ้น 2,962 จุด หรือ 7.9% ส่วนดัชนีแนสแด็กพุ่งขึ้น 12.2%

การฟื้นตัวของตลาดในวันพุธช่วยดึงดัชนี S&P 500 ให้ห่างจากจุดที่เรียกว่า “ตลาดหมี” ซึ่งเป็นคำที่นักลงทุนใช้เรียกเมื่อตลาดหุ้นตกลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุด ซึ่งต่างจากการปรับฐานทั่วไปที่ลดลงประมาณ 10% ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยทุกปีหรือสองปี โดยขณะนี้ดัชนี S&P 500 อยู่ที่ระดับต่ำกว่าจุดสูงสุด 11.2%

ADVERTISMENT

นับตั้งแต่ที่ทรัมป์กลับมายังทำเนียบขาวในเดือนมกราคม ทรัมป์ได้ทำการข่มขู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะใช้มาตรการลงโทษคู่ค้า แต่กลับยกเลิกมาตรการบางส่วนในนาทีสุดท้าย แนวทางแบบชักเข้าชักออกเช่นนี้ทำให้บรรดาผู้นำโลกงุนงงและผู้บริหารธุรกิจต่างพากันตกใจ พวกเขาระบุว่า ความไม่แน่นอนทำให้การคาดการณ์สภาพตลาดเป็นเรื่องยาก

เหตุการณ์ในวันที่ 9 เมษายน ทำให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายของทรัมป์ รวมถึงกระบวนการดำเนินงานที่เขาและทีมงานใช้ในการกำหนดนโยบายและนำมันไปสู่การปฏิบัติ

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ดี สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ยืนยันว่า การถอยกลับจากมาตรการบางอย่างเป็นแผนที่ถูกวางไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อดึงประเทศต่างๆ เข้าสู่โต๊ะเจรจา โดยเบนเซนต์ไม่ให้ความสำคัญกับคำถามเกี่ยวกับความปั่นป่วนของตลาดหุ้น แต่กล่าวว่า การเปลี่ยนนโยบายอย่างฉับพลันในครั้งนี้เป็นการให้รางวัลแก่ประเทศที่ปฏิบัติตามคำแนะนำของทรัมป์ที่ไม่ตอบโต้กลับ

“ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้มาตรการภาษีเพื่อลดช่องว่างในการเจรจาให้เหลือน้อยที่สุด นี่คือกลยุทธ์ของเขาตั้งแต่ต้น คุณอาจพูดได้ว่าเขายั่วยุให้จีนตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ” เบสเซนต์กล่าว

เบสเซนต์เป็นคนสำคัญในการเจรจาเรื่องภาษีรายประเทศ ซึ่งอาจครอบคลุมไปถึงประเด็นด้านความช่วยเหลือต่างประเทศ ความร่วมมือทางการทหาร รวมถึงด้านเศรษฐกิจด้วย อย่างไรก็ดี เขาปฏิเสธที่จะระบุว่า การเจรจากับมากกว่า 75 ประเทศที่ได้ติดต่อเข้ามานั้นจะใช้เวลานานเท่าใด

รายงานข่าวระบุว่า ทรัมป์ได้หารือกับผู้นำญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ด้านคณะผู้แทนของเวียดนามได้เข้าพบเจ้าหน้าที่สหรัฐเมื่อวันพุธที่ผ่านมา

ขณะที่ทรัมป์ระบุในเวลาต่อมาว่า ความตื่นตระหนกในตลาดที่เกิดขึ้นตั้งแต่การประกาศของเขาเมื่อวันที่ 2 เมษายนได้กลายมาเป็นปัจจัยสำคัญในความคิดของเขา แม้จะยืนกรานมาหลายวันแล้วว่านโยบายของเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่เขากล่าวกับนักข่าวเมื่อวันพุธว่า “คุณต้องมีความยืดหยุ่น”

ทรัมป์กล่าวว่า เขาพิจารณาที่จะชะลอการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวมาหลายวันแล้ว แม้ว่าเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทำเนียบขาวจะออกมาตำหนิรายงานข่าวที่ว่ารัฐบาลกำลังพิจารณาระงับภาษีว่าเป็นข่าวปลอมก็ตาม

ก่อนที่จะประกาศชะลอการขึ้นภาษีในวันพุธ ทรัมป์โพสต์บน Truth Social ของเขาว่า “ใจเย็นไว้! ทุกอย่างจะออกมาดี สหรัฐจะยิ่งใหญ่และดีกว่าเดิม” และ “นี่เป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมในการซื้อ!!!”

ทรัมป์ยังคงเพิ่มแรงกดดันต่อจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐต่อไป การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 125% จาก 104% ที่มีผลบังคับแล้ว ส่งผลให้การเผชิญหน้าระหว่างสองประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยทั้งสองประเทศได้ขึ้นภาษีตอบโต้กันหลายครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

กระนั้นก็ดี การที่ทรัมป์เปลี่ยนใจไม่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าก็ไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน ทำเนียบขาวกล่าวว่าภาษีนำเข้าทั่วไป 10% สำหรับสินค้าเกือบทั้งหมดของสหรัฐจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป และการชะลอการขึ้นภาษีของเขาไม่รวมถึงภาษีนำเข้าต่อรถยนต์ เหล็ก และอะลูมิเนียมที่มีผลบังคับใช้แล้ว

นักวิเคราะห์กล่าวว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นอย่างกะทันหันไม่อาจแก้ไขความเสียหายทั้งหมดได้ ขณะที่การสำรวจพบว่าการลงทุนทางธุรกิจและการใช้จ่ายในครัวเรือนชะลอตัวลง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของภาษีศุลกากร โดยผลสำรวจของรอยเตอร์/อิปซอสพบว่า ชาวอเมริกัน 3 ใน 4 คนคาดว่าราคาสินค้าต่างๆ จะเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

โกลด์แมนแซคส์ลดความน่าจะเป็นของภาวะเศรษฐกิจถดถอยลงเหลือ 45% หลังจากการเคลื่อนไหวล่าสุดของทรัมป์ จากเดิมที่ 65% โดยระบุว่าภาษีศุลกากรที่ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ยังคงมีแนวโน้มที่จะส่งผลให้อัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐโดยรวมเพิ่มขึ้น 15%

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image