สหรัฐลดภาษี พัสดุจีนต่ำกว่า 800 ดอลล์ จาก 120% เหลือ 30%
ทำเนียบขาวได้ออกคำสั่งผู้บริหารเพื่อเตรียมลดภาษีนำเข้าแบบ “de minimis” สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐ เหลือเพียง 30% จากที่เพิ่งมีการเรียกเก็บ 120% เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมนี้ ถือเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดในสงครามการค้าระหว่างสองประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก
คำสั่งที่มีการเผยแพร่เมื่อค่ำวันที่ 12 พฤษภาคม เป็นผลสืบเนื่องจากข้อตกลงการค้าที่เกิดขึ้นหลังการหารือครั้งแรกของผู้แทนระดับสูงสหรัฐและจีน ที่ทำให้เกิดการลงภาษีของแต่ละฝ่ายลง 115% เป็นเวลา 90 วัน รวมถึงการตั้งคณะทำงานเพื่อเจรจากันต่อไป ขณะที่การลดภาษี de minimis ช่วยให้ผู้เล่นรายใหญ่ของอีคอมเมิร์ซจีน เช่น Shein และ Temu สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้โดยไม่เผชิญกับข้อจำกัดมากนัก ในอีกทางหนึ่งยังช่วยลดความกังวลของผู้บริโภคในสหรัฐที่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มมากขึ้นในการซื้อสินค้าด้วย
แม้คำแถลงร่วมภายหลังการเจรจาในกรุงเจนีวาจะไม่ได้กล่าวถึงภาษี de minimis โดยตรง แต่คำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า ภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจัดส่งโดยตรงถึงผู้บริโภคทางไปรษณีย์ จะลดลงจาก 120% เหลือ 54% สำหรับสินค้ามูลค่าสูงสุดไม่เกิน 800 ดอลลาร์ โดยมีผลตั้งแต่วันพุธเป็นต้นไป โดยทางเลือกค่าธรรมเนียมแบบเหมาจ่าย 100 ดอลลาร์ต่อพัสดุยังคงมีผลบังคับใช้ ขณะที่แผนการปรับขึ้นเป็น 200 ดอลลาร์ในวันที่ 1 มิถุนายนถูกยกเลิก
รอยเตอร์รายงานโดยอ้างข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งสองรายที่ไม่เปิดเผยชื่อเนื่องจากกลัวผลกระทบว่า ในส่วนของพัสดุที่จัดส่งโดยบริษัทขนส่งเชิงพาณิชย์ เช่น United Parcel Service (UPS), FedEx และ DHL ซึ่งจัดส่งสินค้าของ Shein และ Temu หลายล้านชิ้นก่อนที่ทรัมป์จะยกเลิกสถานะปลอดภาษีสำหรับสินค้าจีนที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์ จะถูกเก็บภาษีที่อัตราใหม่ 30% ลดลงจาก 145%
อัตรา 30% ดังกล่าว มาจากการที่รัฐบาลทรัมป์ตัดสินใจลดภาษีต่างตอบแทน สำหรับจีนจาก 145% เหลือ 10% พร้อมเพิ่มภาษีอีก 20% ที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตเฟนทานิลในสหรัฐ
อย่างไรก็ดี ทำเนียบขาวและสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐยังไม่ได้ตอบคำร้องจากรอยเตอร์ ที่ขอคำชี้แจงในประเด็นดังกล่าว
ด้านนายเจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ CNBC เมื่อวันอังคารว่า อัตราภาษีพื้นฐานที่เรียกเก็บ 10% จากสินค้านำเข้าทั่วโลกมายังสหรัฐมีแนวโน้มที่จะยังคงบังคับใช้อยู่ต่อไป เพื่อช่วยฟื้นฟูภาคการผลิตของสหรัฐ