สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า กลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ชาติ หรือจี20 ระบุหลังเสร็จสิ้นการประชุมรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางของกลุ่มที่นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ว่า จะใช้เครื่องมือทางด้านนโยบายทุกอย่างที่มีเพื่อผลักดันอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่หยุดชะงัก แม้ว่าเยอรมนีจะแสดงความกังวลในเรื่องการใช้นโยบายกระตุ้นทางการเงินและการคลังก็ตาม
แถลงการณ์ร่วมของที่ประชุมจี20 ระบุว่า ในขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกดำเนินอยู่ “แต่ยังไม่คงเส้นคงวาและไม่ได้ตามความทะเยอทะยานของเรา ที่ต้องการให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ยั่งยินและสมดุล”
การประชุมครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางความหวาดกลัวที่เกิดจากการอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวในจีน ประเทศเจ้าภาพของการประชุมนี้ การดิ่งลงของตลาดการเงินโลก และอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี ขณะที่ญี่ปุ่นปรับใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายแบบติดลบ โดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2559 นี้จาก 3.3 เปอร์เซ็นต์ลงเหลือ 3.0 เปอร์เซ็นต์
แถลงการณ์ร่วมของที่ประชุมจี20 ยังอ้างถึงปัจจัยเสี่ยงเฉพาะเจาะลงหลายอย่างที่โลกต้องเผชิญ รวมถึงการไหลเวียนของเงินทุนที่ผันผวน ราคาโภคภัณฑ์ที่ร่วงลง ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ จำนวนผู้อพยพในบางภูมิภาค และ ผลสะเทือนจากความเป็นไปได้ที่อังกฤษจะออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) หรือที่เรียกกันว่า “เบร็กซิท”
อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่เห็นพ้องกันในเรื่องวิธีการแก้ปัญหา โดยนายโวล์ฟกัง ชอยเบิล รัฐมนตรีคลังเยอรมนีแสดงความกังวลว่า ความพยายามที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินอาจให้ผลในทางกลับกัน ขณะที่มีการกระตุ้นทางการคลัง อาทิการเพิ่มงบประมาณรายจ่ายและปรับลดภาษี อยู่แล้ว
“นโยบายทางการเงินและการคลังมาถึงขีดจำกัดแล้ว หากคุณต้องการให้เศรษฐกิจเติบโต ไม่มีทางลัดนอกจากจะต้องปฏิรูป” นายชอยเบิลกล่าว และว่า “เยอรมนีไม่เห็นด้วยกับการใช้นโยบายกระตุ้นทางการคลัง”
ทั้งนี้ แถลงการณ์ร่วมระบุว่า นโยบายทางการเงินเพียงอย่างเดียวไม่สามารถนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนได้ และนโยบายการคลังจะต้องถุกนำมาใช้อย่างยืดหยุ่น และการปฏิรูปโครงสร้างเป็นเรื่องสำคัญ”
