กต.ยันกลไกทวิภาคีดีที่สุด ย้ำ ‘ประศาสน์’ ลูกหม้อกรมสนธิฯ มืออาชีพ-เชี่ยวชาญเขตแดน

กต.ยันกลไกทวิภาคีดีที่สุด ย้ำ ‘ประศาสน์’ ลูกหม้อกรมสนธิฯ มืออาชีพ-เชี่ยวชาญเขตแดน

เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงพัฒนาการชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ตามที่นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงการเตรียมการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ฝ่ายไทยครั้งที่ 2 ก่อนจะมีการประชุมที่พนมเปญ และได้มอบ 3 นโยบายในการเจรจา ได้แก่ 1.การลดความตึงเครียด และทำให้ประชาชนอยู่อย่างสงบสุข 2.การทำให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น เรื่องเส้นเขตแดน 3.การยืนหยัดที่จะปกป้องอธิปไตย

นายนิกรเดชย้ำว่า ไทยมุ่งมั่นใช้กลไกทวิภาคี ซึ่งเป็นกลไกที่เป็นที่ยอมรับตามหลักปฏิบัติสากล และความตกลงที่สองประเทศมีอยู่แล้ว โดยจะเป็นวิธีหาทางออกของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย กลไกที่มีอยู่ได้แก่ JBC  คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) เราจะใช้ทั้ง 3 กลไกนี้ควบคู่กันไปในการเจรจา และใช้บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก(MOU) ปี 2543 ซึ่งมีอายุ 25 ปีแล้ว ถือเป็นสนธิสัญญา ที่สองฝ่ายได้ตกลงกันแล้ว และมีผลทางกฎหมาย

“JBC ที่จะเกิดขึ้นในอีก 2 วันข้างหน้าคือกลไกทวิภาคีกลไกหลัก ถือว่าเป็นเวทีหารือเรื่องเขตแดนโดนเฉพาะ จึงประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศและเส้นเขตแดน ซึ่งจัดขึ้นมาแล้ว 10 ครั้ง” นายนิกรเดช กล่าว และว่า หนึ่งในข้อกำหนดสำคัญของ MOU 2543 คือการให้ทั้งสองฝ่ายงดเว้นการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ ซึ่งหมดอยู่ระหว่างการพิสูจน์ทราบ

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการ JBC ของฝ่ายไทย ที่ได้รับการแต่งตั้ง ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหลายฝ่าย นำโดยนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ส่วนฝ่ายกัมพูชา มีนายฬำ เจีย รัฐมนตรีกระทรวงกิจการชายแดนกัมพูชา เป็นหัวหน้าคณะ

ADVERTISMENT

นายนิกรเดชกล่าวด้วยว่า ไทยประกาศไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และมีประเทศอีก 118 ประเทศ รวมไทยด้วยเป็น 119 ประเทศ จาก 190 กว่าประเทศที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติ (UN) มากกว่าครึ่งหนึ่งของ UN

“ไทยจะยึดมั่นผ่านกลไกทวิภาคี ขอให้ทุกคนมั่นใจว่าผู้แทนไทยจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการด้วยความเป็นมืออาชีพ โดยจะเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตั้วตั้ง” นายนิกรเดชกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะเปิดเผยหัวข้อการประชุม JBC ที่จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ นายนิกรเดช กล่าวว่า ยังไม่สามารถบอกได้ เนื่องจากยังหารือกันยังไม่แล้วเสร็จ แต่หนึ่งวาระที่มีแน่ๆ คือการสำรวจร่วมเรื่องเขตแดน ส่วนเรื่องอื่นยังหารือกันไม่เสร็จ

เมื่อถามว่ามีผู้วิพาษณ์วิจารณ์คุณสมบัติของหัวหน้าคณะ JBC ฝ่ายไทยว่าไม่เหมาะสม และเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนตัว นายนิกรเดช กล่าวว่า นายประศาสน์เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเขตแดนที่สุดคนหนึ่ง ดูจากการทำงานท่านทำงานอยู่ที่กรมสนธิสัญญามาโดยตลอด

“ท่านโตมากับกรมสนธิสัญา ก่อนออกไปเป็นทูต ณ กรุงพนมเปญ มีความรู้ความเชี่ยวชาญ มีความคุ้นเคยและได้รับการยอมรับ เรียนได้เลยว่ากรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ก็อยากจะให้ท่านมาเป็นหัวหน้าทีม” นายนิกรเดชกล่าว

นายนิกรเดชย้ำว่า รัฐบาลจะยึดถึอผลประโยชน์ของประชาชนและอธิปไตยของชาติ ยืนยันว่าคณะกรรมาธิการ JBC เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเขตแดน ดังนั้น ยืนยันได้ในความซื่อสัตย์สุจริต ความเป็นมืออาชีพ

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า การที่กัมพูชาเชิญไทยเข้าไปประชุม แสดงว่ากัมพูชาอยู่ในกลไกอยู่แล้ว ความหมายคือกัมพูชายอมรับใน MOU 2543 ถามว่าเราตั้งใจว่าจะบรรลุผลอะไร เรามีอยู่แล้ว แต่ยังไม่สามารถพูดได้ แต่ผลอย่างหนึ่งคือเราต้องการคือลดอุณหภูมิความร้อนแรงบริเวณชายแดน ซึ่งตนเชื่อว่าจะเป็นความหวังของกัมพูชาด้วย เพราะพูดเสมอว่าเราต้องพูดคุยด้วยความสุจริตใจ

“จูงมือกันไปสำรวจร่วม ทำแบบค่อยเป็นค่อยไป จะเป็นการลดอุณหภูมิ นั่นคือเป้าหมายที่เราไปด้วยความชัดเจนมากในเรื่องนี้” นายนิกรเดช

เมื่อถามว่า ถ้าวงประชุม JBC ไม่บรรลุผล จะดำเนินการอย่างไรต่อไป นายนิกรเดชกล่าวว่า ไม่เป็นปัญหา เพราะ 25 ปี ที่ผ่านมาปลดล็อกอะไรไปได้หลายอย่าง 40 กว่าหลักเขต แต่ไม่ใช่ทุกปัญหาแก้ได้ด้วยการประชุม JBC ดังนั้น การเผชิญหน้าหรือเห็นไม่ตรงกันที่ชายแดน ไม่ใช่เรื่องง่ายในการประชุม 1 ครั้งแล้วจบ ตนไม่อยากให้ตั้งความหวังว่าเจอกันที่ JBC แล้วจะลากเส้นเขตแดนได้