CNN วิเคราะห์ ทรัมป์ถล่มอิหร่าน จุดเปลี่ยนสำคัญ เดิมพันใหญ่กระทบโลก
สตีเฟน คอลลินสัน นักวิเคราะห์การเมืองอาวุโสของ CNN ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ของสิ่งที่เกิดขึ้นหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ได้ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน เข้าไปถล่มแหล่งนิวเคลียร์ 3 แห่งในอิหร่านไว้ดังนี้
การดำเนินการของทรัมป์ได้ผลักดันให้อิหร่าน ภูมิภาคตะวันออกกลาง สหรัฐอเมริกา และตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาเอง ก้าวข้ามจุดเปลี่ยนสำคัญ ด้วยการโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของเตหะรานในครั้งนี้ ซึ่งมันอาจกลายเป็นที่จดจำว่าเป็นช่วงเวลาที่ตะวันออกกลางเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล เมื่อความกลัวต่อการถูกโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ของอิสราเอลหมดไป เมื่ออำนาจของอิหร่านถูกลดทอน และอำนาจของสหรัฐอเพิ่มขึ้น
แต่หากเดิมพันของทรัมป์ล้มเหลว และเขาไม่สามารถทำลายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านได้อย่างสิ้นเชิง ประธานาธิบดีที่มักฝ่าฝืนกฎเกณฑ์อย่างทรัมป์อาจกำหนดเส้นทางหายนะให้กับสหรัฐและโลกโดยรวม ความเสี่ยงในเวลานี้คือ รัฐบาลอิหร่านอาจโต้กลับด้วยการโจมตีกองกำลัง เป้าหมาย หรือพลเรือนของสหรัฐในภูมิภาค จนกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบหรือไม่
การกระทำดังกล่าวถือว่าทรัมป์ได้เดิมพันครั้งใหญ่ต่อความมั่นคงของโลก และสิ่งที่จะกลายเป็นมรดกทางการเมืองของตัวเขาเอง โดยที่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าในท้ายที่สุดนั้นผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร หลังจากที่เขานำพาสหรัฐประกาศควมสนับสนุนต่ออิสราเอลด้วยการโจมตีตรงต่ออิหร่าน
ประธานาธิบดีที่เคยให้คำมั่นว่าจะยุติสงคราม กลับกลายเป็นผู้ที่อาจเริ่มต้นสงครามใหม่
การโจมตีทางอากาศของสหรัฐในวันที่ 21 มิถุนายน เป็นการแสดงออกถึงอำนาจทางทหารและอำนาจของประธานาธิบดีอย่างโหดเหี้ยมและเป็นการฝ่ายเดียว ถือเป็นการดำเนินการที่ร้ายแรงที่สุดภายใต้ของความสัมพันธ์ที่เป็นปฏิบักษ์ระหว่างสหรัฐกับอิหร่านที่ยาวนานถึง 45 ปี นับตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามในปี 1979
มันง่ายที่จะเริ่มสงครามใหม่ แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการยุติสงครามลง และมันมักจะเป็นเช่นนั้นโดยเฉพาะในตะวันออกกลาง ซึ่งการคาดการณ์ทางยุทธศาสตร์ของประธานาธิบดีสหรัฐหลายคนว่าพวกเขาสามารถควบคุมผลกระทบจากการใช้กำลังในการโจมตีอย่างรุนแรง รวดเร็ว และเหนือชั้นกว่า เพื่อทำให้ศัตรูตกใจจนขาดความสามารถในการต่อต้านหรือโต้ตอบ มักถูกพิสูจน์ว่าเป็นความไร้เดียงสาอย่างน่าเศร้า
ทรัมป์ ที่มักต่อต้านข้อจำกัดของอำนาจประธานาธิบดีในประเทศ ได้ส่งกองทัพสหรัฐเข้าสู่สงครามโดยไม่ขอความยินยอมจากรัฐสภา หรือเตรียมความพร้อมหกับชาวอเมริกันอย่างเหมาะสม ทั้งยังปฏิเสธที่จะขอแรงสนับสนุนจากชาติพันธมิตร
ประธานาธิบดีทรัมป์ยังไม่ได้แสดงหลักฐานต่อโลกว่าทำไมเขาจึงเชื่อว่าอิหร่านใกล้จะได้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ในไม่กี่สัปดาห์ ทั้งที่หน่วยข่าวกรองของสหรัฐประเมินว่าอิหร่านยังต้องใช้เวลาอีกหลายปี ในขณะเดียวกับที่ทรัมป์ก็ไม่อาจรู้ได้แน่นอนว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
เบรตต์ แมคเกอร์ก เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐที่เคยทำงานให้ทั้งรัฐบาลรีพับลิกันและเดโมแครตในตะวันออกกลาง กล่าวกับแอนเดอร์สัน คูเปอร์ของ CNN “ถ้าใครบอกคุณว่าเขารู้ว่ามันจะไปจบตรงไหน ไม่ว่าจะเป็นภาพดีหรือแย่ พวกเขาไม่รู้จริง ๆ ว่ากำลังพูดถึงอะไร ไม่มีใครรู้”
อิหร่านจะตอบโต้หรือไม่?
คำถามในระยะสั้นในเวลานี้คือ ความสามารถและความตั้งใจของอิหร่านในการโจมตีกลับเป้าหมายของสหรัฐในตะวันออกกลางและพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก และแม้ว่าทรัมป์จะประกาศภารกิจนี้ประสบความสำเร็จโดยสมบูรณ์ แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าการโจมตีทางอากาศของสหรัฐสามารถทำลายคลังยูเรเนียมเสริมสมรรถนะทั้งหมดของอิหร่านได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะในกรณีที่อิหร่านอาจซ่อนคลังบางส่วนไว้ และอาจยังสามารถนำมาใช้สร้างอาวุธนิวเคลียร์แบบพื้นฐานได้ในอนาคต
ไม่มีผู้นำระดับสูงของสหรัฐคนใดต้องการให้อิหร่านครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ แต่ความไม่แน่นอนเหล่านี้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ประธานาธิบดีก่อนหน้าทรัมป์เลือกที่จะไม่เสี่ยงโจมตีอิหร่านโดยตรง แม้สงครามตัวแทนระหว่างทั้งสองประเทศจะดำเนินต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปีแล้วก็ตาม
เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐเผยว่า ทรัมป์ไม่ได้มองว่าการโจมตีทางอากาศต่ออิหร่านเทียบเท่ากับการรุกรานอิรักและอัฟกานิสถานของสหรัฐในอดีต ซึ่งทำให้ประเทศต้องติดหล่มในสงครามนานถึง 20 ปี แต่ขณะนี้อิหร่านมีสิทธิที่จะตัดสินใจว่าจะตอบโต้เช่นไร และจะลากสหรัฐเข้าสู่สงครามใหม่หรือไม่
อันตรายที่ใกล้ตัวที่สุดคือ ถึงแม้อิหร่านจะอ่อนแอลงหลังจากถูกโจมตีทางอากาศโดยอิสราเอลต่อเนื่องหลายวัน แต่อิหร่านยังอาจสามารถโจมตีฐานทัพสหรัฐ บุคลากร หรือแม้แต่พลเรือนในตะวันออกกลางและพื้นที่อื่นๆ ได้ ซึ่งอาจทำให้สหรัฐต้องเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งที่นองเลือด
ขณะนี้ อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน เสียหน้าอย่างรุนแรงในประเด็นที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของระบอบการปกครองของเขา นั่นก็คือสิทธิของอิหร่านในการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม ซึ่งถือเป็นศักดิ์ศรีของชาติ ดังนั้นจึงยากที่จะเชื่อว่า เขาจะนิ่งเฉยโดยไม่ตอบโต้
ขณะที่ทรัมป์เตือนว่า หากอิหร่านตอบโต้จะต้องเจอกับผลลัพธ์ที่เลวร้าย “จะมีแต่สันติภาพ หรือจะมีโศกนาฏกรรมสำหรับอิหร่าน ซึ่งจะรุนแรงยิ่งกว่าที่เราเห็นในช่วงแปดวันที่ผ่านมา จำไว้ว่ายังมีเป้าหมายอีกมาก” ทรัมป์กล่าวระหว่างการแถลงข่าว
แม้ขีดความสามารถของคลังแสงขีปนาวุธของอิหร่านจะได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการโจมตีของอิสราเอล เช่นเดียวกับกลุ่มตัวแทนของอิหร่าน แต่อิหร่านก็ยังมีทางเลือกอยู่ ตั้งแต่การยกระดับสถานการณ์ด้วยการยั่วยุให้เกิดวิกฤตพลังงานทั่วโลก โดยการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับการส่งออกน้ำมัน การโจมตีพันธมิตรของสหรัฐในอ่าวเปอร์เซีย หรืออาจใช้กองกำลังตัวแทนในอิรักและซีเรียเป็นเครื่องมือในการโจมตีฐานทัพและกองกำลังของสหรัฐในภูมิภาค ไม่ว่าทางเลือกใดก็ตาม จะทำให้สหรัฐต้องตอบโต้ และอาจนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบระหว่างสหรัฐกับอิหร่าน
ขณะที่ผลกระทบทางการเมืองจากการโจมตีของทรัมป์ภายในประเทศอิหร่านเองก็ยังไม่ชัดเจน ผู้เชี่ยวชาญบางคนตั้งข้อสงสัยว่า การโจมตีนี้อาจจุดชนวนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ ที่อาจคุกคามการอยู่รอดของระบอบปฏิวัติอิหร่าน อิสราเอลเองก็ไม่ปิดบังความหวังของตนว่า การโจมตีครั้งนี้จะนำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาลที่เคยขู่ว่าจะลบรัฐยิวออกจากแผนที่โลก แต่หากรัฐบาลดังกล่าวล่มสลายจริง ก็อาจเปิดทางให้ระบอบใหม่ที่เป็นศัตรูยิ่งกว่าเดิมเข้ามาแทน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีสายสัมพันธ์กับกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) หากรัฐอิหร่านถึงขั้นแตกสลาย อาจเกิดสงครามกลางเมือง และความไร้เสถียรภาพอย่างรุนแรงอาจลุกลามไปไกลเกินพรมแดนของอิหร่านเกิดขึ้นตามมาได้เช่นกัน
เงาของมรดกอันเจ็บปวดจากสงครามในอิรักและอัฟกานิสถาน ซึ่งสหรัฐใช้เวลากว่าสองทศวรรษในการหาทางออกจากสงครามเหล่านั้น ประธานาธิบดีสหรัฐหลายคนต่อจากนั้นพยายามเบนความสนใจและทรัพยากรออกจากตะวันออกกลาง ไปสู่เอเชียและการแข่งขันกับจีนซึ่งเป็นมหาอำนาจที่กำลังก้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
กระนั้นก็ดี ความขัดแย้งกับอิหร่านในครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องซ้ำรอยสงครามเหล่านั้น
ตะวันออกกลางได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา อิทธิพลของอิหร่านในภูมิภาคได้ลดลงอย่างรุนแรงจากการปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอล หลังจากการโจมตีของฮามาสต่อพลเรือนอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 และการคาดการณ์ว่า การสังหารนายพลกอเซม สุไลมานี หัวหน้ากองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติของอิหร่านในสมัยแรกของทรัมป์ จะจุดไฟให้เกิดไฟสงครามในภูมิภาค ก็ไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด
แต่ไม่ว่าอย่างไร ทรัมป์ได้พาสหรัฐเดินเข้าสู่เส้นทางใหม่ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าปลายทางจะเป็นอย่างไร เพราะในยที่สุด ทรัมป์ตัดสินใจว่า ความเสี่ยงจากการที่อิหร่านอาจครอบครองระเบิดนิวเคลียร์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออิสราเอล สหรัฐ และโลกนั้น ร้ายแรงยิ่งกว่าผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากความพยายามในการหยุดยั้งมัน
อย่างไรก็ดี การโจมตีอิหร่านจะยิ่งทำให้เกิดความหวาดกลัวเกี่ยวกับการใช้อำนาจโดยพลการของทรัมป์ภายในสหรัฐเอง มันยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลในลุ่มคนที่วิจารณ์เขา ว่าเขากำลังพยายามรวบอำนาจทั้งหมดโดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ และขัดกับหลักประชาธิปไตยของสหรัฐ เนื่องจากทรัมป์ได้เริ่มความขัดแย้งใหม่ในขณะที่อิหร่านไม่ได้เป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อสหรัฐ ประวัติของทรัมป์ที่เคยมีการโกหกซ้ำซาก และทำลายกลไกของประชาธิปไตยในประเทศ จะยิ่งทำให้การโน้มน้าวประชาชนว่าเขาทำในสิ่งที่ถูกต้องเป็นเรื่องยากมากขึ้น
ทรัมป์ยังได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ที่อนุญาตให้สหรัฐดำเนินการทางทหารโดยลำพัง ซึ่งอาจละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักการของระเบียบโลกที่นำโดยสหรัฐ ซึ่งมันอาจถูกผู้นำเผด็จการทั่วโลกนำไปใช้ และอ้างความชอบธรรมในการใช้กำลังทหารฝ่ายเดียวต่อประเทศที่อ่อนแอกว่า
ทรัมป์ยังทดสอบความจงรักภักดีทางการเมืองของกลุ่มผู้สนับสนุนเขาอย่างเหนียวแน่น โดยการทิ้งหลักการทางการเมืองข้อหนึ่งที่เขายึดมั่นมาโดยตลอด นั่นคือความเชื่อที่ว่ายุคของประธานาธิบดีสหรัฐที่เปิดฉากสงครามใหม่ในตะวันออกกลางจากข่าวกรองที่ไม่น่าเชื่อถือนั้นควรจบลงแล้ว การที่ทรัมป์ทำการโจมตีอิหร่านในครั้งนี้อาจทำให้กลุ่มคนที่เชื่อในการทำให้ “อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” หรือ MAGA แยกตัวออกไป แต่ทรัมป์ก็ยังคงยึดมั่นในจุดยืนเดิมที่มีมาตลอดของเขาว่า เขาจะไม่ยอมให้อิหร่านครอบครองระเบิดนิวเคลียร์
การโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยสหรัฐครั้งนี้ กลายเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ผู้ซึ่งเรียกร้องให้มีการทำลายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านด้วยกำลังทหารมานานหลายสิบปี
เนธันยาฮูเริ่มต้นสงครามกับอิหร่านเมื่สัปดาห์ก่อน ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าอิสราเอลไม่สามารถจบสงครามนี้ด้วยตัวเองได้ เพราะไม่มีระเบิดเจาะบังเกอร์แบบที่สหรัฐใช้ในคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา เขาเดิมพันถูกว่าหลังจากที่อิสราเอลทำลายระบบป้องกันทางอากาศของอิหร่านได้แล้ว ทรัมป์จะคว้าโอกาสนี้เพื่อพยายามล้างบางโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านให้หมดสิ้นไป
การตัดสินใจของทรัมป์ในการโจมตีอิหร่านจุดชนวนพายุทางการเมืองทันทีในสหรัฐ สมาชิกเดโมแครตบางคนกล่าวหาทรัมป์ว่าเพิกเฉยต่อรัฐธรรมนูญ ขณะที่สมาชิกพรรครีพับลิกันระดับอาวุโสในรัฐสภาบางคนรีบออกมาแสดงการสนับสนุนการดำเนินการของทรัมป์ทันที
ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ปฏิบัติการทางทหารในอิหร่านควรเป็นเครื่องเตือนใจอย่างชัดเจนแก่ทั้งศัตรูและพันธมิตรของเรา ว่าประธานาธิบดีทรัมป์เอาจริงตามที่เขาพูดไว้
อย่างไรก็ดี ผู้นำพรรคเดโมแครตระดับสูงหลายคนกลับกล่าวหาทรัมป์ว่า ได้กระทำการที่ถิเป็นการละเมิดกฎหมาย ละเมิดรัฐธรรมนูญ และนำสหรัฐเข้าสู่ความขัดแย้งใหม่ในตะวันออกกลาง
มาร์ก วอร์เนอร์ วุฒิสมาชิกจากรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นแกนนำพรรคเดโมแครตในคณะกรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภา รวมถึงผู้นำเดโมแครตคนอื่นๆ อีกหลายคนไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าก่อนการโจมตีจะเกิดขึ้น
พวกเขาออกมาวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของทรัมป์อย่างรุนแรงว่า เป็นการตัดสินใจโจมตีอิหร่านโดยไม่ปรึกษาสภาคองเกรส ไม่มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ไม่สนใจข้อสรุปที่สอดคล้องไปในทางเดียวกันของหน่วยข่าวกรอง และไม่อธิบายให้ประชาชนอเมริกันเข้าใจว่า มีเดิมพันและความเสี่ยงใดที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว