ที่มา | นสพ.มติชน |
---|---|
ผู้เขียน | เสกขภูมิ วรรณปก [email protected] |
โรดริโก ดูแตร์เต วัย 72 ปีดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ครบรอบ 1 ปี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมาในฐานะผู้นำที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงหลังจากที่นำพาชาวฟิลิปปินส์ไปสู่ “การใช้ความเด็ดขาด” ในการปราบปรามยาเสพติด และการกลับลำด้านนโยบายต่างประเทศ
ดูแตร์เตถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเรื่องการปราบปรามยาเสพติดโดยใช้ความรุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนหลายพัน และยังครบรอบ 12 เดือนในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีโดยต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ขึ้นสู่อำนาจ จากการที่กลุ่มติดอาวุธอิสลามสุดโต่งเข้ายึดพื้นที่ในเมืองทางภาคใต้ของประเทศ
ดูแตร์เตยังสั่นคลอนช่วงเวลาหลายทศวรรษแห่งความมีเสถียรภาพด้านนโยบายต่างประเทศ เมื่อเขากล่าวโจมตีสหรัฐอเมริกา พันธมิตรแต่ดั้งเดิมของฟิลิปปินส์อย่างรุนแรงหลายครั้ง ขณะที่นำฟิลิปปินส์เข้าไปใกล้ชิดขั้วตรงข้ามอย่างจีนและรัสเซีย
ถึงอย่างนั้นก็ตาม ชาวฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนเขา เห็นได้จากผลสำรวจความคิดเห็นของสำนักโพลต่างๆ ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา โดยชิ้นที่ใหม่ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า 75 เปอร์เซ็นต์ พอใจผลงานของรัฐบาลดูแตร์เต
ริคาร์โด อาบัด หัวหน้าภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยอาเทเนโอ ในกรุงมะนิลาบอกว่า ผู้คนชอบดูแตร์เตที่มีสไตล์ความเป็นผู้นำที่เด็ดขาด
ขณะที่ในต่างประเทศ ดูแตร์เตมีชื่อเสียงเรื่องความยินดีปรีดาอย่างชัดเจนในการทำสงครามปราบปรามยาเสพติด เช่นเดียวกับภาษาชั้นต่ำที่บ่อยครั้งเขามักจะเรียกบรรดาผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์เขาว่า “ไอ้ลูกโสเภณี”
ทว่า ชาวฟิลิปปินส์จำนวนมากมองข้ามคำพูดที่หยาบคายนี้และเห็นว่าดูแตร์เตเป็นคนติดดิน ต่อต้านชนชั้นนำ ผู้ที่เห็นอกเห็นใจในความยากลำบากของพวกเขา และพร้อมที่จะใช้มาตรการสุดโต่งเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงตลอดทั่วทุกภาคส่วนของสังคม
“เขานำมาซึ่งแบบฉบับใหม่ของความเป็นผู้นำ ซึ่งผู้คนคิดว่าเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ” เอ็ดมุนด์ ตาเยา อาจารย์รัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยซานโต โทมัสกล่าว
ในคำกล่าวสุนทรพจน์หลังรับตำแหน่ง ดูแตร์เตไม่ได้ตกแต่งคำพูดสำหรับแผนการที่เขาวางไว้ให้สวยหรูกว่าที่ควรจะเป็น เขากล่าวว่า “การเดินทางครั้งนี้อาจจะขรุขระ มีอุปสรรค แต่ขอให้มาร่วมกันกับผม”
ส่วนที่ขรุขระที่สุดในรอบปีที่ผ่านมาคือการปราบปรามยาเสพติด โดยข้อมูลของทางการระบุว่า ตำรวจสังหารผู้ต้องสงสัยค้ายาไป 3,171 ราย ขณะที่มีกลุ่มผู้ก่อเหตุไม่ทราบฝ่ายสังหารผู้คนในคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอีก 2,098 ราย นอกจากนี้ยังมีการฆาตกรรมที่ไม่รู้ถึงแรงจูงใจที่แน่ชัดอีก 8,200 คดี
กลุ่มสิทธิและฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์เตือนว่า ดูแตร์เตอาจมีความผิดฐานก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ โดยกล่าวหาว่า ดูแตร์เตปล่อยให้เกิดตำรวจที่ประพฤติมิชอบและทีมสังหารที่ทำหน้าที่เป็น “ศาลเตี้ย” ในการฆาตกรรมหมู่
แต่เรื่องใหญ่ที่สุดตอนนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม เมื่อกลุ่มมือปืนบุกเข้ายึดเมืองมาราวี บนเกาะมินดาเนาและชักธงสัญลักษณ์ของกลุ่มก่อการร้ายรัฐอิสลาม (ไอเอส) ขึ้นสู่ยอดเสา
ดูแตร์เตประกาศกฎอัยการศึกตลอดพื้นที่ทางภาคใต้ 1 ใน 3 ของประเทศโดยทันที และปฏิบัติการทิ้งระเบิดจู่โจมอย่างไม่หยุดหย่อน แต่กองทัพฟิลิปปินส์ก็ยังไม่สามารถเอาชนะกลุ่มติดอาวุธได้อย่างเด็ดขาด
การสู้รบนี้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 400 ราย และยังไม่มีวี่แววว่าจะยุติลง