สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (เอ็นบีเอส) เปิดเผยเมื่อวันที่ 19 มกราคมว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีน เติบโตด้วยอัตราชะลอตัวที่ 6.9 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2559 นับเป็นอัตราการขยายตัวที่อ่อนแอที่สุดในช่วงเวลา 25 ปีของประเทศที่มีเขตเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกแห่งนี้ จุดชนวนให้เกิดความกังวลเพิ่มมากขึ้นในหมู่นักลงทุนทั่วโลก
อัตราการเติบโตดังกล่าวอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่การขยายตัว 3.8 เปอร์เซ็นต์เมื่อปี 2533 หนึ่งปีหลังเกิดเหตุปราบปรามผู้ประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งสั่นสะเทือนทั้งประเทศและส่งผลให้จีนถูกโดดเดี่ยวจากนานาชาติ
ผลงานของจีนที่นับว่าเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกรายสำคัญ ถือเป็นข้อกังวลใหญ่ของนักลงทุนทั่วโลก และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ของปีที่แล้วชะลอตัวมาอยู่ที่ 6.8 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นอัตราการเติบโตที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก
บรรดาผู้กำหนดนโยบายของจีนที่ตั้งเป้าการขยายตัวของจีดีพีไว้ที่ “ราว 7 เปอร์เซ็นต์” ในปี 2558 ตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจากการพึ่งพาการลงทุนและการส่งออกแบบในอดีต ไปเป็นแบบที่พึ่งพาอุปสงค์การบริโภคภายในประเทศ
เอ็นบีเอสระบุในแถลงการณ์ว่า ภาคบริการของจีนมีผลงานคิดเป็น 50.5 เปอร์เซ็นต์จากจีดีพีทั้งหมดในปี 2559 นับเป็นครั้งแรกที่มีสัดส่วนเกินครึ่งหนึ่งของขนาดเศรษฐกิจทั้งหมด นอกจากนี้ยังเสริมว่า การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างยังอยู่ระหว่างดำเนินการ และระบุว่าเป็น “ช่วงเวลาสำคัญอย่างยิ่งยวดที่ต้องก้าวข้ามความท้าทาย และปัญหาต้องได้รับการแก้ไข”
“ภารกิจในการปฏิรูปให้ลึกซึ้งและครอบคลุมยังคงเป็นเรื่องที่หนักหนา” แถลงการณ์ระบุ
นายหวัง เป่าอัน ผู้อำนวยการเอ็นบีเอสเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวด้วยว่า “สถานการณ์ในปีนี้น่าจะไม่แตกต่างไปจากปีที่ผ่านมามากเท่าไหร่นัก การเติบโตทางเศรษฐกิจจีนยังจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ซับซ้อนและผันผวน” พร้อมชี้ด้วยว่า ภาคธุรกิจใหม่อย่างค้าปลีกออนไลน์และรถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทนเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้คาดว่า เศรษฐกิจจีนปีนี้จะยังเติบโตด้วยอัตราคงที่เท่ากับปีที่แล้ว
ด้านนายเหลี่ยว ฉวิน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของซิตีแบงก์ อินเตอร์เนชั่นแนลในฮ่องกงระบุว่า มีความเป็นไปได้น้อยที่เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงอย่างรุนแรงในปีนี้ แต่เตือนว่าจีนจำเป็นต้องใช้นโยบายทางการเงินและการคลังที่ผ่อนคลายกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นจีนปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากคาดการณ์กันว่า ทางการจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่อีกหลังจากนี้ โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดเพิ่มขึ้น 3.22 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ดัชนีเสิ่นเจิ้นคอมโพสิตเพิ่มขึ้น 3.57 เปอร์เซ็นต์
