คอลัมน์โกลบอล โฟกัส: ‘ไม่เอาสงคราม’ เสียงร้องจาก ‘ฮิโรชิมา’

บอมบ์โดม

ซากของ “โดมปรมาณู” หรือ “บอมบ์โดม” ที่ยังคงตระหง่านอยู่ในเมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความรุนแรงอันเกิดขึ้นจากระเบิดปรมาณูที่ถล่มเมืองฮิโรชิมาได้เป็นอย่างดี แม้โครงสร้างของอาคารจะยังคงเด่นตระหง่าน แต่เรื่องราวของความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยรอบ ยังคงวนเวียนอยู่ไม่ห่าง

ซาดาเอะ คาซาโอกะ หนึ่งในเหยื่อระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น เมื่อเกือบ 71 ปีก่อน เหตุการณ์ที่ ซาดาเอะเล่าจากประสบการณ์ตรง เมื่อครั้งที่ระเบิดปรมาณูลงที่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น และตอนนั้นซาดาเอะอายุเพียง 12 ปีเท่านั้น

ซาดาเอะ คาซาโอกะ
ซาดาเอะ คาซาโอกะ

ซาดาเอะเล่าว่า บ้านของเธออยู่ที่ตำบลเอบะมะจิ อำเภอฮิโรชิมา เมืองฮิโรชิมา ใกล้กับทะเลฝั่งใต้ ซึ่งในช่วงเวลานั้น เป็นช่วงของสงคราม ผู้คนไม่มีจะกิน อาหารต้องรอการแจกจ่าย การใช้ชีวิตก็ยากลำบาก ข้าวที่เป็นอาหารหลักก็ต้องหาทางเพิ่มปริมาณด้วยการใส่น้ำลงไปมากกว่าการหุงปกติถึง 10 เท่า เพื่อให้ทุกคนได้มีข้าวกินกัน ขนาดหญ้าก็ยังสามารถนำมาทำเป็นอาหารเพื่อประทังความหิวได้

ในคืนวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ.1945 มีเครื่องบินของฝ่ายศัตรูบินเหนือท้องฟ้า เจ้าหน้าที่ได้ประกาศเตือนให้ประชาชนระวังการโจมตีทางอากาศจากฝ่ายศัตรู มีการประกาศเตือนและยกเลิกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

Advertisement

กระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น วันที่ 6 สิงหาคม พ่อและแม่ของซาดาเอะออกไปทำงาน ส่วนตัวเธอนั้นอยู่กับบ้าน ดูเหมือนท้องฟ้าจะแจ่มใส ทุกอย่างดูปกติ ตอน 07.30 น. ซาดาเอะได้ยินเสียงสัญญาณไซเรนยกเลิกการเตือนระวังภัย

“คงไม่เป็นไรแล้ว เครื่องบินของศัตรูคงไม่มาแล้ว” ซาดาเอะคิด แล้วก็ไปล้างจานชามหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ

เวลา 08.15 น. ระเบิดปรมาณูลูกแรกถูกทิ้งลงที่เมืองฮิโรชิมา โดยมันระเบิดกลางอากาศห่างจากพื้นดินราว 600 เมตร ตรงบริเวณโรงพยาบาลชิมะ เกิดเป็นภาพของเมฆก้อนใหญ่อันเป็นผลจากระเบิดนิวเคลียร์ สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อเมืองฮิโรชิมา ที่มีผู้คนอาศัยอยู่ราว 350,000 คน

Advertisement

ในเวลานั้นเอง ซาดาเอะเล่าว่า ตอนนั้นเธออยู่ในบ้าน จู่ๆ กระจกหน้าต่างก็แตกกระจายพร้อมกับสีแดงฉาน กับเสียงระเบิดที่ดังก้องกังวานไปทั่ว กระจกกระเด็นมาถูกตัวเธอ จนทำให้ซาดาเอะหมดสติไป รู้สึกตัวอีกที หัวของเธอก็ชุ่มไปด้วยเลือด แต่ซาดาเอะกลับไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย รู้แต่ว่าสิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้คือ “ต้องหนีให้เร็วที่สุด” ซาดาเอะจึงพาย่าของเธอวิ่งหนีไปที่หลุมหลบภัย ที่เต็มไปด้วยชาวบ้านที่อยู่ในละแวกเดียวกัน โดยที่ทุกคนต่างไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น

ลุงข้างบ้านของซาดาเอะ อาสาออกไปในเมืองราว 9 โมงกว่า เพื่อไปดูสถานการณ์ ก่อนที่จะกลับมาด้วยใบหน้าและแขน ที่กลายเป็น “สีชมพู” สีผิวที่เปลี่ยนไปเพราะถูกความร้อนอย่างรุนแรง

“ที่ฮิโรชิมาเกิดเรื่องใหญ่แล้ว อยู่ดีๆ ก็มีแสงสว่างขนาดใหญ่ แล้วทุกคนก็ไม่เหลืออะไรเลย” คุณลุงคนนั้นกล่าว

ทุกคนต่างเป็นห่วงลูกหลานของตัวเองที่ไปทำงานในเมือง เช่นเดียวกับซาดาเอะที่ห่วงพ่อแม่ที่ไปทำงานอยู่ในเมืองเช่นกัน หากแต่เวลานั้นเธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ได้แต่เพียงขอให้ลุงที่เป็นญาติกันช่วยออกไปตามหา ในขณะที่พี่ชายของซาดาเอะซึ่งอยู่ที่โกเบและกำลังเดินทางกลับบ้าน ก็เจอกับระเบิดเช่นกัน แต่ไม่เป็นอะไร และเมื่อพี่ชายของเธอกลับมาถึงบ้าน ก็รีบออกตามหาพ่อและแม่ในทันที

กระทั่งรับทราบข่าวว่าพ่อแม่ของพวกเขายังมีชีวิตอยู่ และอยู่ที่บ้านของญาติในตำบลโอโกโจ ห่างจากจุดศูนย์กลางที่เกิดระเบิดราว 4 กิโลเมตร พี่ชายจึงได้รีบเดินทางไปรับพวกท่านกลับมา

แต่ผู้เป็นพ่อกลับอยู่ในสภาพย่ำแย่ ตัวดำเพราะถูกไฟไหม้ จนไม่เหลือเสื้อผ้า เหลือเพียงดวงตาที่เปิดกว้าง ใบหน้าบวมพอง ริมฝีปากบิดเบี้ยว ตอนแรกนั้น ซาดาเอะจำผู้เป็นพ่อของตัวเองไม่ได้ กระทั่งเขาพูดเรื่องของแม่ขึ้นมา ซาดาเอะจึงรู้ว่าร่างที่ดำเป็นตอตะโกอยู่นี้คือพ่อของเธอนั่นเอง

ร่างกายที่บอบช้ำอย่างสาหัสจนยากจะเยียวยา และยากจะหายามารักษา ลูกๆ อย่างซาดาเอะและพี่ชายได้แต่นำเอาแตงกวาและมันฝรั่งมาบดให้ละเอียดแล้วนำมาประคบตามร่างกายของผู้เป็นพ่อ แต่ด้วยร่างกายที่ร้อนมาก ทำให้สิ่งที่ทาลงไปก็จะแห้งในทันที และไม่สามารถดึงออกมาได้ เพียงแค่แตะนิดเดียว แผ่นผิวหนังสีดำก็ลอกออกไป จนเห็นเนื้อสีแดงสดข้างใน นั่นแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่ผิวกายภายนอกเท่านั้นที่ถูกไฟร้อนๆ ลวก แต่ยังรวมไปถึงร่างกายภายใน ที่น่าจะเกิดจากการโดนรังสีอินฟราเรดและกัมมันตภาพรังสีนั่นเอง

ด้วยความที่ผู้เป็นพ่อไม่สามารถที่จะกินอะไรได้ ลูกๆ ได้แต่พยายามหาของกินมาให้ แม้แต่น้ำดื่มที่พ่ออยากจะดื่ม ลูกๆ ก็กลัวว่าถ้าดื่มน้ำเข้าไปอาจจะตายได้ ก็เลยไม่ให้ดื่ม และพ่อที่ชอบดื่มเหล้า แต่ก็ยังไม่อยากให้ดื่ม ซึ่งเป็นเรื่องที่ซาดาเอะบอกว่า ยังทำให้เธอเสียใจมาถึงทุกวันนี้ ที่ไม่สามารถให้พ่อได้ดื่มน้ำหรือเบียร์ได้ก่อนสิ้นใจ

สิ่งที่ทำให้คือ การเอาพัดมาพัดให้พ่อ เพื่อผ่อนคลายความร้อน และเพื่อไล่แมลงวัน แผลเริ่มเน่าเป็นหนอง แมลงวันเริ่มตอมร่างกายของผู้เป็นพ่อ ตัวอ่อนของแมลงวันออกมาจากปากแผลและกินเนื้อของมนุษย์เป็นอาหารเพื่อเติบโตเป็นแมลงวัน

ซาดาเอะเล่าด้วยความเจ็บปวดว่า “นี่แหละคือสงคราม สงครามทำให้เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น”

ซาดาเอะบอกว่า เธอได้ออกไปหาอะไรมาให้พ่อกินแทนน้ำ จึงไปที่สวนและเห็นมะเขือเทศสีแดงเรื่อมาแต่ไกล ก็เลยไปเก็บลูกมะเขือเทศใส่ตะกร้า แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้น เธอก็ได้เห็นกับสิ่งที่ทำให้ต้องตกตะลึง นั่นคือร่างของผู้คนที่เดินเรียงแถวกันอย่างไม่ส่งเสียงอะไร ในสภาพร่างกายที่ขาวโพลน มือทั้งสองข้างงอถึงหน้าอก ที่แขนมีผืนผ้าเก่าๆ ห้อยรุ่งริ่งติดอยู่ ทุกคนมุ่งหน้าไปทางเดียวกัน คือ “โรงพยาบาลทหารบก” ทุกคนอยู่ในสภาพที่เหมือนกับโดนไฟลวก

แม้ว่าร่างกายของผู้เป็นพ่อยังคงบอบช้ำอย่างสาหัส หากแต่ก็ยังไม่วายที่จะห่วงผู้เป็นภรรยาและหวังว่าเธอจะปลอดภัย กระทั่งพ่อได้เสียชีวิตลงในที่สุด ลูกๆ จึงได้นำศพของผู้เป็นพ่อไปที่ชายทะเล แล้วขุดหลุมที่หาดทราย โดยรวบรวมแผ่นไม้และเศษไม้มาจุดไฟทำพิธีเผาศพ ด้วยแรงไฟที่อ่อนมาก ต้องใช้เวลาในการเผานานถึงประมาณ 10 ชั่วโมงจึงเผาหมด

ขณะที่บริเวณใกล้เคียงกัน ก็มีผู้นำศพอื่่นๆ มาเผาเป็นจำนวนมาก กลุ่มควันโขมงและกลิ่นเหม็นฟุ้งไปทั่วบริเวณ

ซาดาเอะบอกว่า ตอนที่เผาศพพ่อของเธอและเห็นคนอื่นเผาศพอื่นๆ อยู่นั้น เธอเห็นลูกไฟสีน้ำเงินลอยออกมา และคิดว่าน่าจะเป็นดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตที่ยังไม่อยากจากไป และพ่อของเธอเอง ซึ่งเสียชีวิตขณะอายุได้ 52 ปี ก็คงมีสิ่งที่อยากจะทำ

“คงไม่มีคนที่ตายไปเพราะว่าอยากตาย คงอยากมีชีวิตอยู่ และอยากจะทำอะไรหลายๆ อย่างในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่สมหวังและต้องจากไปทั้งๆ ที่จิตใจยังคงอยู่” ซาดาเอะกล่าว และว่า เธอคิดว่าวิญญาณเหล่านี้ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่กลับต้องมาถูกฆ่าตายด้วยระเบิดปรมาณู เพื่อนๆ ของเธอที่ออกไปทำงานก็เสียชีวิตจำนวนมาก และแม้จะอยู่ท่ามกลางสงคราม แต่เด็กๆ ก็มีความฝัน ทุกคนอยากทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง แต่ระเบิดนิวเคลียร์กลับมาคร่าชีวิต ความฝัน และความหวังในอนาคตของพวกเขาไปในพริบตา

พี่ชายของซาดาเอะ ยังคงออกไปตามหาผู้เป็นแม่ กระทั่งพบชื่อของแม่ติดประกาศอยู่ที่โรงเรียนนิโนะชิมะ ที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานพยาบาล แต่เมื่อไปถึงแม่ก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม และศพของแม่ก็ได้ถูกจัดการไปเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงกระดูกเล็กๆ น้อยๆ และเส้นผมที่อยู่ในถุงเล็กๆ เท่านั้น

ซาดาเอะบอกว่า หลังจากที่แม่พลัดหลงกับพ่อ แม่คงเป็นห่วงเธอกับคุณย่า ก็เลยอยู่ตรงริมแม่น้ำเพื่อพยายามจะกลับบ้าน และคงถูกพาขึ้นเรือ ทั้งๆ ที่ตัวแม่เองนั้นทรมานกับแผลไฟร้อนลวก แต่ก็ยังเป็นห่วงลูกๆ และครอบครัว จึงอยากกลับบ้าน

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซาดาเอะได้แต่ “ปวดใจ” เหลือเกิน

ในส่วนของตัวพี่ชายที่ออกตามหาแม่นั้น ก็ได้พบเห็นกับภาพสลดตาสลดใจอย่างมากมาย แต่จนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยเอ่ยปากถึงเรื่องเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูแม้แต่คำเดียว และอีกอย่างคือ หลังจากที่โดนระเบิดแล้ว ทุกคนก็เพิ่งจะมารู้ทีหลังว่า มีสารกัมมันตภาพรังสีตกค้างอยู่ เมื่อพี่ชายออกไปตามหาแม่ ซึ่งแน่นอนว่า จะต้องโดนสารกัมมันตภาพรังสีติดตัวมาด้วยอย่างแน่นอน

ขณะที่ตัวซาดาเอะเองนั้น ตามร่างกายก็มีตุ่มขึ้นทั่วทั้งตัว แต่ไม่มีหนองออกมาจากแผล ที่แขนข้างขวามีรูใหญ่ๆเกิดขึ้น 3 รู หนองก็ออกมาจากรูทั้ง 3 นี้ทุกวัน ซึ่งปกติแล้วถ้าหนองออกจากแผล ตุ่มแผลก็จะหาย แต่แผลของเธอกลับอยู่นานกว่าครึ่งปี และเพิ่งมารู้ทีหลังว่า ระเบิดนิวเคลียร์ยังทำให้เกิดผลร้ายตามมาอีก นั่นคือการตกค้างของสารกัมมันตภาพรังสี และซาดาเอะเกิดอาการโลหิตจางติดต่อกันเรื่อยมา ส่วนประจำเดือนครั้งแรกในชีวิต มาเมื่อตอนอยู่ชั้น ม.4!!

ชีวิตของซาดาเอะหลังจากนั้น ก็ต้องดิ้นรนกันเพื่อมีชีวิตกันต่อไป กระนั้นซาดาเอะก็ยังสามารถเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่เพราะการได้รับอิทธิพลจากระเบิดนิวเคลียร์ ทำให้เธอได้รับการดูถูกทั้งในด้านการงานและการแต่งงาน กระนั้นเธอก็ได้แต่งงานกับชายที่ได้รับผลกระทบจากระเบิดปรมาณูเช่นกัน เพราะสามีเธอออกตามหาพ่อและพี่สาวของเขา ทำให้ร่างกายถูกอาบด้วยสารกัมมันตภาพรังสีเป็นจำนวนมาก ที่สุดแล้วก็ป่วยเป็นมะเร็งที่ไขสันหลัง และป่วยอยู่ราว 2 ปีก็เสียชีวิตไป ขณะอายุได้ 35 ปี

ซาดาเอะมีลูก 2 คน ทุกวันนี้ ซาดาเอะในวัยกว่า 80 ปี ยังดูร่างกายแข็งแรง เธอบอกว่าคอยดูแลตัวเองอยู่ตลอด ออกกำลังกาย รับประทานอาหารดีๆ ถ้าป่วยก็จะรีบไปหาหมอ

แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้ว แต่เรื่องราวของที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ฮิโรชิมาโดนระเบิดปรมาณูก็ยังคงติดอยู่ในใจของซาดาเอะตลอดเวลา รวมไปถึงเรื่องราวของ ซาดาโกะ ซาซากิ เด็กหญิงที่ถูกระเบิดปรมาณูเมื่อตอนอายุ 2 ขวบ จากนั้น 10 ปี เธอก็เสียชีวิตลง แล้วเพื่อนร่วมชั้นเรียนก็ได้เริ่มรวบรวมเงินบริจาค เพื่อนำไปสร้าง “อนุสาวรีย์เด็กที่เสียชีวิตจากระเบิดปรมาณู” จากการรวมพลังของเพื่อนร่วมชั้น ขยายไปทั่วเมือง และคนทั่วไป จนสามารถรวบรวมเงินบริจาคสร้างอนุสาวรีย์ของซาซากิขึ้นมาได้

สวนสันติภาพ
สวนสันติภาพ

ซาดาเอะบอกว่า สำหรับอุทยานอนุสรณ์สันติภาพที่ปรากฏ “เปลวไฟแห่งสันติภาพ” อยู่นั้น เปลวไฟนี้จะยังคงลุกโชติช่วงต่อไป จนกว่า “อาวุธนิวเคลียร์” จะหมดไปจากโลกใบนี้

แน่นอนว่า ซาดาเอะอธิษฐานขอให้เปลวไฟแห่งสันติภาพนี้ดับลงโดยเร็วที่สุด

ในส่วนของมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น ที่แต่เดิมกำหนดให้ญี่ปุ่นจะไม่ก่อสงครามและไม่ใช้กำลังเพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งสหรัฐเป็นผู้เขียนขึ้นมาเพื่อต้องการยุติอำนาจของกองทัพญี่ปุ่นหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งนี้ 2 แต่จากการตีความมาตรา 9 ใหม่ เมื่อปี 2014 กลับเปิดทางให้ญี่ปุ่นใช้กำลังทหารเพื่อโจมตีประเทศอื่นและเข้าสู่สงครามได้

เรื่องนี้ “ซาดาเอะ” มีคำตอบสั้นๆ ว่า “ไม่เอาสงครามแล้ว”

เป็นอีกหนึ่งเสียงเรียกร้องจากเหยื่อระเบิดปรมาณู และน่าจะเหมือนกับใครอีกหลายคนบนโลกที่ไม่อยากเห็นสงครามเกิดขึ้น ท่ามกลางความขัดแย้งรุนแรงที่เกิดขึ้นทั่วโลกและสามารถกลายเป็นชนวนให้เกิดสงครามได้ตลอด หากแต่วิธีที่จะยุติความขัดแย้งได้นั้นมีมากกว่า 1 วิธี ไม่ใช่แค่การฆ่ากันอย่างเดียวแน่นอน!!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image