สำนักข่าวเอเอฟพี ซีเอ็นเอ็น และบีบีซี รายงานว่า ชาวซิมบับเวต้องเผชิญกับอนาคตที่ไม่แน่นอนจากการไม่มีประธานาธิบดีโรเบิร์ต มูกาเบ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน หลังจากที่กองทัพยึดอำนาจและกักบริเวณผู้นำวัย 93 ปี ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นวีรบุรุษผู้ปลดปล่อยรายนี้
ข่าวระบุว่า ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ไม่เคยรู้จักกับช่วงเวลาที่ไม่มีนายมูกาเบ ผู้เป็นจุดศูนย์กลางของกิจการสาธารณะ นับตั้งแต่เขาก้าวขึ้นมามีอำนาจในปี 2523 ในช่วงเวลาที่ซิมบับเวได้รับเอกราชจากอังกฤษ
ชาวซิมบับเวต้องตกตะลึงหลังจากที่นายมูกาเบที่เจ็บป่วยอยู่ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในบ้านพักเมื่อช่วงเย็นวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ในขณะที่ทหารเข้ายึดครองพื้นที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ทั่วกรุงฮาราเร เมืองหลวง และเจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้าควบคุมสถานีโทรทัศน์ของรัฐ
ประชาคมเพื่อการพัฒนาแอฟริกาตอนใต้ (เอสเอดีซี) ที่ปัจจุบันแอฟริกาใต้ ชาติเพื่อนบ้านมหาอำนาจของซิมบับเวดำรงตำแหน่งประธานเตรียมเรียกประชุมที่ประเทศบอตสวานาในช่วงเย็นวันที่ 16 พฤศจิกายนนี้ตามเวลาท้องถิ่น เพื่อหารือถึงสถานการณ์ในซิมบับเว
และแม้จะไม่ได้ยินสิ่งใดเลยจากนายมูกาเบ และนางเกรซ ภริยา นับตั้งแต่เริ่มต้นปฏิบัติการของทหาร ชาวซิมบับเวจำนวนมากยังมีความหวังว่าวิกฤตครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของอนาคตที่เจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม
“สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของเราเลวร้ายลงทุกวัน ไม่มีที่ไหนจ้างงาน” นายทาฟัดซวา มาซังโก ชายวัย 35 ปี กล่าวและว่า “เราตั้งความหวังถึงซิมบับเวที่ดีกว่าเดิมหลังยุคของมูกาเบ ถึงเวลาที่เขาต้องไปแล้ว”
ข่าวระบุว่า ชาวกรุงฮาราเรส่วนใหญ่ไม่ได้คำนึงถึงการมีอยู่ของทหารบนท้องถนนและยังคงเดินหน้าใช้ชีวิต สัญจร เข้าสังคมและทำงานตามปกติ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่านายมูกาเบและกองทัพน่าจะสามารถเจรจากันได้ในเรื่องการถ่ายโอนอำนาจ
นายเดเร็ก มาตีซัก นักวิเคราะห์ของสถาบันเพื่อการศึกษาด้านความมั่นคงในกรุงพริทอเรียของแอฟริกาใต้ระบุว่า นายมูกาเบและกองทัพน่าจะสามารถตกลงกันได้ในเรื่องการส่งต่ออำนาจให้กับผู้นำคนใหม่ และคาดว่านายมูกาเบจะยังสามารถอาศัยอยู่ในซิมบับเวได้ โดยยกระดับสถานะของเขาให้เป็นสัญลักษณ์ของการปลดปล่อยให้ประเทศเป็นอิสระ
“ความยากลำบากในเรื่องนี้มีอย่างเดียวคือการรับประกันถึงความปลอดภัยของนางเกรซ ภริยา และครอบครัว หลังจากนายมูกาเบเสียชีวิตไปแล้ว” นายมาตีซักกล่าว
ด้านอังกฤษ อดีตเจ้าอาณานิคมผู้ปกครองซิมบับเว เรียกร้องให้อยู่ในความสงบและเตือนเรื่องการส่งต่ออำนาจให้ผู้นำที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
ขณะที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความอดกลั้น เคารพหลักนิติธรรม ปกป้องสิทธิพลเมือง และแก้ไขความแตกต่างให้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด
