สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งราว 3.2 ล้านคนทางตอนเหนือของประเทศเนปาล จากจำนวนทั้งหมดราว 15 ล้านคน เดินทางไปลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ ครั้งแรกในรอบ 10 ปี หลังสิ้นสุดสงครามกลางเมืองและการยกเลิกการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช แต่ต้องใช้เวลานานถึง 9 ปี ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นการยกเครื่องระบบการเมืองใหม่หมดจึงสามารถผ่านสภาออกมาบังคับใช้ได้เมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา เปิดทางให้มีการจัดการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 275 คน และสมาชิกสภาจังหวัดอีก 7 จังหวัดซึ่งเป็นเขตการปกครองที่แบ่งขึ้นมาใหม่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญใหม่ในวันนี้ โดยการเลือกตั้งจะแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ระยะแรกเป็นการเลือกตั้งของประชาชนในพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศ ส่วนการเลือกตั้งระยะที่ 2 ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 7 ธันวาคม จะเป็นการเลือกตั้งของเขตปกครองในดินแดนที่ราบทางตอนล่างของประเทศ ทั้งนี้ผู้ลงคะแนนจะใช้สิทธิเลือกส.ส.และสมาชิกสภาจังหวัดที่มีขึ้นเป็นครั้งแรกควบคู่กันไปในคราวเดียว
คณะกรรมการการเลือกตั้งเนปาล ยอมรับว่า ผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการคงต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะรู้ผล สืบเนื่องจากความยากลำบากในการรวบรวมและนับคะแนน ทั้งนี้ตามรัฐธรรมนูญ นอกจากจะมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งแล้ว ยังกันที่นั่งจำนวนหนึ่งไว้สำหรับตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ คือตัวแทนของสตรี, ตัวแทนของชุมชนชาวพื้นเมืองเดิม และ ตัวแทนของวรรณะดาลิท หรือวรรณะจัณฑาล อีกด้วย
ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ชาวเนปาลเดินทางไปลงคะแนนเสียง 2 ครั้ง เพื่อเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นรัฐสภาไปด้วยในตัว ในปี 2551 และ ปี 2556
อย่างไรก็ตาม พรรคการเมืองสำคัญของเนปาลยังคงเป็น 2 กลุ่มอำนาจเดิมที่เคยมีอิทธิพลทางการเมืองในประเทศที่ผ่านมา โดยมีพรรคเนปาลี คองเกรส ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลอยู่ในเวลานี้เป็นพรรคใหญ่ ควบคู่กับพรรคการเมืองแนวทางซ้ายอย่างพรรคเหมาอิสต์ และพรรคคอมมิวนิสต์ ยูเอ็มแอล โดยพรรคแนวทางเอียงซ้ายทั้ง 2 จับมือกันแนบแน่นในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทำให้พรรคเนปาลี คองเกรส จำเป็นต้องหันไปจับมือกับพรรคขนาดเล็กอย่างพรรคมัทเธสี ที่มีอิทธิพลอยู่ทางตอนใต้ของประเทศติดกับชายแดนด้านเหนือของประเทศอินเดีย
