คุยกับ “ลีฮยอนโซ” “สาวเกาหลีเหนือ” (ไม่) ธรรมดา ผู้หลบหนีลี้ภัยจากบ้านเกิด

เสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้เข้าร่วมงานที่เพิ่งถูกจัดขึ้นครั้งแรกในกรุงเทพฯ เขาใช้ชื่องานว่า “บางกอกแหวกแนว เทศกาลแห่งความคิด” งานจัดบนถนนมหาราช บริเวณมิวเซียมสยาม-จักรพงษ์วิลล่า-โรงเรียนราชินี

มีกิจกรรมอัดแน่นใน 3 สถานที่ ตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีร้านค้าสองข้างทาง ใครใคร่ร่วมกิจกรรมใดก็ไปเข้าร่วมได้ตลอดเวลา

ในช่วงเย็นของงานวันนั้น ได้เข้าฟังการบรรยายในงานเสวนาหนึ่งที่โรงเรียนราชินี เขาใช้ชื่อว่า “Escape from North Korea” หรือภาษาไทยว่า “ลี้ภัยจากเกาหลีเหนือ”

อันที่จริงต้องสารภาพก่อนว่า เข้าร่วมเพราะรู้สึกสะดุดใจกับคำโปรยในใบกิจกรรมเชิญชวนเข้าร่วมงานตอนหนึ่งที่ว่า “มาฟังการเล่าเรื่องราวชีวิตที่อยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการที่ไร้ความปรานีที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง เรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่ติดอยู่และพยายามหลบหนีการจับกุมเพื่อออกสู่เสรีภาพ”

Advertisement

พออ่านจบ คิดว่าเรามีจุดร่วม มีบางอย่างเหมือนกัน จึงเข้าร่วมอย่างไม่ลังเล

ในขณะนั้นก็พลันนึกขึ้นได้ว่า วันนี้น่าจะไม่ใช่วันธรรมดาๆ สำหรับตนเองแน่แล้ว…

เมื่องานเริ่มขึ้น เธอ-หญิงสาวผู้ลี้ภัยชาวเกาหลีเหนือ ชื่อ “ลีฮยอนโซ” หรือ “ฮียอนเซียวลี” อายุ 35 ปี ก็ขึ้นพูดบนเทวีหลังจากที่พิธีกรกล่าวเปิดงาน

เธอพูดถึงการหลบหนีออกจากเกาหลีเหนือผ่านทางประเทศจีนและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เธอเปลี่ยนชื่อมาแล้วถึง 7 ครั้ง เพื่อเหตุผลด้านการหลบหนีลี้ภัย

เธอเล่าถึงการโฆษณาชวนเชื่อในเกาหลีเหนือ เล่าถึงความทุกข์ยากของชาวเกาหลีเหนือ เล่าถึงการก่นด่าชาติตะวันตก โดยเฉพาะประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ของสื่อที่มีเพียงช่องเดียวในประเทศของเธอ

และเธอย้ำหนักแน่นอีกครั้ง อย่างที่คนนอกประเทศของเธอรับรู้เป็นอย่างดีว่า “ท่านผู้นำของเธอเปรียบเสมือนพระเจ้า”

หลังงานนั้นเป็นการถาม-ตอบของเธอกับพิธีกรและผู้เข้าฟังเสวนา เธอตอบด้วยความฉะฉาน หนักแน่น และบางครั้งก็รวดเร็วจนจับใจความไม่ทัน (ในงานใช้ภาษาอังกฤษสื่อสาร)

และแน่นอน ด้วยอาชีพบวกกับความอยากรู้ จึงตรงเข้าไปหาผู้ดูแลของเธอหลังงานเสวนาจบลงเพื่อขอสัมภาษณ์เธอเป็นการส่วนตัว ผู้ดูแลตอบตกลง แต่มีข้อจำกัดว่าห้ามเกิน 15 นาที ตอบรับเงื่อนไขดังกล่าวโดยไม่ลังเล

ไม่รู้จะมีคำถามไหน ที่อยากฟังคำตอบจากปากของเธอ เท่ากับคำถามนี้

อะไรคือเหตุผลแท้จริงที่คุณหนีออกมาจากเกาหลีเหนือ?

“เพราะฉันเคยคิดว่าเกาหลีเหนือดีที่สุดในโลก คนทั้งโลกนับถือแต่ท่านผู้นำคิมเท่านั้น เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ทั้งโลกต้องให้ความเคารพ [คนเกาหลีเหนือ] เราเชื่อกันแบบนั้นจริงๆ แม้กระทั่งในทุกวันนี้ หลายคนก็ยังเชื่อแบบนั้น เราถูกล้างสมองมากว่า 70 ปี

“แต่การที่ฉันอาศัยบริเวณชายแดนระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือ ฉันจึงสามารถเปรียบเทียบประเทศตัวเองกับประเทศจีนได้ ในขณะที่อีกหลายคนไม่สามารถทำอะไรได้เลย มันช่วยให้ฉันเข้าใจและตาสว่างจากอะไรหลายๆ อย่าง

“ฉันจึงหนีออกนอกประเทศเพื่อค้นหาความจริง รัฐบาลยังบอกว่าเรามั่งคั่งกว่าประเทศจีน เราไม่จำเป็นต้องให้ความเคารพต่อจีนเลย

“แต่สิ่งที่ฉันเห็นในอีกฝั่งของชายแดนคือเศรษฐกิจจีนดีกว่าเรา ฉันได้ดูรายการทีวีของพวกเขา มันช่างแตกต่างกับเราอย่างสิ้นเชิง ทีวีบ้านเขาพูดถึงที่สิ่งที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อนในชีวิต บางทีอาจเป็นพวกเขาต่างหากที่มั่งคั่ง ไม่ใช่เรา” เธอตอบอย่างมุ่งมั่น

ถามต่อว่า นั่นหมายความว่า ยังมีคนเกาหลีเหนืออีกมาก ที่ไม่รู้เลยใช่ไหมว่า เกิดอะไรขึ้นบนโลกใบนี้บ้าง?

เธอตอบอย่างรวดเร็วว่า “ก่อนหน้า ค.ศ.1997 ผู้คนไม่รู้เลยว่าโลกภายนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง สำหรับฉันนับเป็นรายแรกๆ ที่เริ่มรับรู้ว่าสถานการณ์ในเกาหลีเหนือเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

“พอเริ่มมีเพลง มีภาพยนตร์จากเกาหลีใต้ จากฮอลลีวู้ด มันทำให้คนเกาหลีเหนือเริ่มตระหนักว่า บางทีเราอาจไม่ใช่ประเทศที่ดีที่สุด มีหลายคนตาสว่างขึ้น ว่าที่ผ่านมาเราถูกล้างสมอง แต่ไม่ได้หมายความว่าทั้งเมืองจะรู้สึกเช่นนั้น เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา

“เพราะหากคนเกาหลีเหนือตาสว่าง ก็จะสามารถโค่นล้มระบอบที่เป็นอยู่ได้ หากพวกเขา [ชนชั้นนำ] สูญเสียอำนาจ สูญเสียความจงรักภักดี อำนาจเผด็จการก็จะถูกทำลายลง มันสำคัญมาก เพราะมันหมายความว่า ระบอบเผด็จการจะไม่สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ในอนาคต”

คำถามต่อมา ได้ยินเธอพูดในงานเสวนาว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ปลอดภัย มีเสรีภาพ มีความหวัง ไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน จึงถามเธอให้แน่ใจอีกครั้งว่า ทำไมเธอถึงพูดเช่นนั้น?

เธอบอกว่า “ฉันหมายถึงประเทศไทยในบริบทสำหรับผู้ลี้ภัยชาวเกาหลีเหนือเท่านั้น ฉันขอขอบคุณรัฐบาลไทยและคนไทย เพราะอย่างที่ฉันเคยพูดไว้ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคนี้ที่ทำงานร่วมกับรัฐบาลเกาหลีใต้

“ประเทศไทยจะไม่ส่งคนเกาหลีเหนือกลับไปยังประเทศจีนหรือเกาหลีเหนือ ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวหรือเวียดนามจะส่งผู้ลี้ภัยชาวเกาหลีเหนือกลับไปยังจีนหรือเกาหลีเหนืออีกครั้ง”

ถามเธอต่อไปว่า คุณยังรักประเทศตัวเองไหม ยังอยากกลับไปบ้านเกิดอีกครั้งหรือไม่?

เธอตอบด้วยแววตาจริงจังว่า “ฉันยังรักเกาหลีเหนือ เพราะที่นั่นเป็นบ้านเกิดของฉัน แต่ที่ถามว่าอยากกลับไปไหม ถ้าเป็นตอนนี้คงไม่

“หลายคนอาจถามว่าแล้วคุณจะพูดได้อย่างไรว่ายังรักประเทศตัวเอง ฉันก็จะตอบไปว่า ฉันยังต้องการกลับไป ถ้าฉันทำได้ แต่ตอนนี้ฉันกลับไปไม่ได้ ถ้าฉันกลับไป ฉันต้องโดนฆ่าแน่ๆ

“แต่ถ้าหลังจากที่เกาหลีรวมเป็นหนึ่ง หลังจากที่ระบอบ [เผด็จการ] ล่มสลาย สิ่งแรกที่ฉันต้องการทำคือ การกลับไปบ้านเกิดเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่นั่น”

นอกจากนั้น เธอยังบอกว่า ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศของตัวเองให้ดีขึ้นด้วยวิถีทางประชาธิปไตย และเธอย้ำอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการสงครามเพื่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดๆ

“เรื่องใหญ่ของโลกทุกวันนี้คือ เราไม่ต้องการทำสงคราม เพื่อทำให้เกาหลีรวมเป็นหนึ่งเดียว ฉันเชื่อแบบนั้น แต่ไม่รู้คนอื่นจะคิดอย่างไร สิ่งเดียวที่เราต้องการคือ การรวมเกาหลีเป็นหนึ่งเดียวอย่างสันติ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างสันติภาพ” เธอกล่าว

หลังจากที่ได้เจอเธอ ได้ฟังเธอพูด และได้สนทนากับเธอ อย่างน้อยที่สุด วันนั้นก็ไม่ธรรมดาสำหรับผู้เขียน

แต่เหนือสิ่งอื่นใด เธอยังเป็นมนุษย์ปกติธรรมดาคนหนึ่งนี่แหละ ที่ช่วยยืนยันให้เราเห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่เปิดโอกาสให้คนปกติธรรมดาได้ใช้หลักการพื้นฐานสามัญ ไม่ว่าจะสิทธิ ไม่ว่าจะเสรีภาพ ไม่ว่าจะการแสดงความคิดเห็น ชอบบอกชอบ ไม่ชอบบอกไม่ชอบ แต่ไม่ทำร้ายกัน

ส่วนระบอบอื่นใดที่ไม่เคารพความธรรมดาสามัญของมนุษย์ขี้เหม็นอย่างเราๆ แต่กลับหยิบยื่นโอกาสให้กับคนพิเศษ ผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ ก็น่าจะไม่ทนทานและคงอยู่ได้ไม่นานในโลกสมัยใหม่หรอก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image