“นักการทูตเป็นสิ่งที่ทำแล้วสนุก แต่ศิลปะเป็นสิ่งที่ช่วยจรรโลงใจ” คือถ้อยคำส่วนหนึ่งของน.ส.พรรณพิมล สุวรรณพงศ์ เอกอัครราชทูตไทยประจำบังกลาเทศ ที่ปรากฎในหนังสือรวบรวมผลงานศิลปะเล่มแรก The Golden Touch of Lacquer Art ที่สะท้อนถึงชีวิต 2 มิติที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กันของท่านทูตพรรณพิมลได้อย่างดียิ่ง
แม้ท่านทูตพรรณพิมลจะรู้จักและชื่นชอบศิลปะมาตั้งแต่วัยเยาว์ แต่ด้วยเส้นทางเดินชีวิตดูเหมือนจะนำพาให้เข้ามาสู่แวดวงการทูตที่ดูจะห่างไกลจากความชื่นชอบในอดีต ท่านทูตพรรณพิมลได้กลับมาสัมผัสงานศิลปะที่รักอีกครั้งเมื่อครั้งออกประจำการในเวียดนามครั้งแรกที่กรุงฮานอยเมื่อปี 2547 จากการไปเข้าคลาสเรียนการทำภาพแลคเกอร์เพนติ้งร่วมกับภริยาทูตต่างประเทศที่ประจำการในกรุงฮานอย และนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ท่านทูตพรรณพิมลได้กลับสู่เส้นทางของงานศิลปะอันเป็นที่รักอีกครั้งหนึ่ง
แลคเกอร์เพนติ้งของเวียดนามซึ่งเป็นภาพแบบเรียบๆ ไม่ใช่สไตล์ของท่านทูตพรรณพิมลที่ชอบภาพแบบมีมิติ ความนูน และมีสีเหลือบ ในช่วงเวลากว่า 13 ปีที่ได้กลับเข้ามาในแวดวงแห่งการสร้างสรรค์งานศิลป์ ท่านทูตพรรณพิมลได้รังสรรค์งานศิลปะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้น อาศัยเทคนิคของภาพแลคเกอร์เพนติ้งที่มีความใกล้เคียงกับภาพลงรักปิดทองของไทย ผนวกเข้ากับศิลปะลักษณะที่ชื่นชอบ และมุมมองของความเป็นไทยที่ฝังลึกอยู่ในตัวท่านทูตพรรณพิมล ทำให้ผลงานที่ท่านทูตผลิตออกมาตลอดเวลานับจากนั้นจึงเปี่ยมไปด้วยความหมาย สะท้อนความคิด ความรู้สึก ความผูกพันกับบ้านเกิดเมืองนอน และสถานที่ซึ่งท่านทูตพรรณพิมลเดินทางไปประจำการตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
ผลงานที่ปรากฎในหนังสือจึงถูกจัดหมวดหมู่อย่างดี สะท้อนแนวคิดเบื้องหลังการรังสรรค์ผลงานแต่ละชิ้นขึ้น ท่านทูตพรรณพิมลเล่าให้ฟังถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้ลงมือสร้างสรรค์ผลงานว่า หลังจากทำภาพธรรมชาติอย่างภูเขา แม่น้ำแล้ว ก็มาจากความคิดถึงบ้าน เพราะด้วยอาชีพนักการทูตที่มักจะอยู่ไกลบ้าน เมื่อคิดถึงบ้าน ก็จะคิดถึงหลักชัยแห่งชีวิต คือพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงอยากจะทำอะไรที่เป็นการระลึกถึงท่าน
“เหรียญ” หลากชนิดจึงถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบหลักในการสร้างสรรค์ผลงาน เริ่มจากผลงานในชุดสำคัญ The One and Only และอีกหลายชุดหลังจากนั้น ที่ท่านทูตบอกว่า มาจากการค้นหาความรู้สึกของตนเอง และยิ่งเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต ทุกครั้งที่ฝัง “เหรียญ” ลงไปในภาพ ก็เป็นเสมือนการย้ำถึงความจงรักภักดีที่มีต่อพระองค์ด้วย
ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งสำหรับภาพที่ท่านทูตพรรณพิมลรังสรรค์ขึ้นด้วยเหรียญคือ ภาพทุกภาพจะใช้เหรียญในจำนวนที่ลงท้ายด้วยเลข 9 เสมอ
ผลงานของท่านทูตพรรณพิมลไม่ใช่เพียงงานศิลปะที่ทำเพื่อจรรโลงใจของเจ้าตัวเท่านั้น แต่ยังมีผู้สนใจในงานศิลปะมาขอซื้อไปเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ครั้งที่ท่านทูตพรรณพิมลดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่ไทย ณ นครโฮจิมินห์ ก่อนได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยในบังกลาเทศ ทั้งจากนักธุรกิจชั้นนำของประเทศที่ท่านทูตพรรณพิมลไปประจำการ อาทิ เวียดนามและบังกลาเทศ ไปจนถึงผู้คนในแวดวงนักการทูตและการเมือง จากผลงานมากกว่า 50 ภาพ ที่ยังคงอยู่กับท่านทูตมีน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง โดยหนึ่งในผลงานของท่านทูตพรรณพิมลยังถูกซื้อไปประดับในโรงแรมชั้นนำของโลกอย่างโอเรียลเต็ล ไทเป ด้วย
สิ่งที่ทำให้ท่านทูตพรรณพิมลทั้งประหลาดใจและภาคภูมิใจคือภาพที่เกี่ยวกับในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นภาพที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ยิ่งเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต ภาพเหล่านั้นจึงกลายเป็นของสะสม ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่สำหรับคนไทยเท่านั้น แต่รวมถึงชาวต่างชาติที่บอกว่านับถือศรัทธาพระองค์เพราะทรงเป็นแรงบันดาลใจสูงสุด
แม้จะสร้างสรรค์ผลงานไว้หลายชุด ภายใต้จุดเด่นของภาพทุกภาพที่ท่านทูตตั้งใจทำคือภาพทุกภาพต้องทำให้เกิดความหวัง และส่งพลังในทางบวก แต่ผลงานที่ท่านทูตพรรณพิมลประทับใจมากที่สุดก็คือภาพชุด The Golden King ทั้งภาพในชุด My Father Home และ The One and Only ซึ่งมีการนำ “เหรียญ” มาใช้ในรูปนั่นเอง
“เป็นชุดที่ตั้งใจที่สุด ทุกครั้งที่จัดวางเหรียญแต่ละเหรียญลงไปจะคิดอยู่เสมอว่าเหมาะสมหรือไม่ เหรียญต้องอยู่ในที่สูง ต้องเป็นมงคล เพราะต้องการทำภาพให้คนเคารพบูชา สะท้อนถึงความจงรักภักดี”ท่านทูตพรรณพิมลบอก พร้อมให้เหตุผลว่า
“ในฐานะคนไทย พระองค์ทรงเป็นพ่อของแผ่นดิน ในฐานะที่เป็นเอกอัครราชทูตไทย เราอยู่ในฐานะผู้ถ่ายทอดความเป็นไทย ความจงรักภักดีและความเคารพของคนไทยที่มีต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไปสู่ประเทศที่เราปฏิบัติหน้าที่”
ความตั้งใจเหล่านี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนในผลงานที่รังสรรค์ด้วยหัวใจของท่านทูตไทยหัวใจศิลปินผู้นี้
