สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า กระทรวงกลาโหมเอธิโอเปีย ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินขึ้นเป็นเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ หลังจากเกิดจลาจลขึ้นทั่วประเทศ และนายไฮเลมาเรียม เดซาเลจ์น ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างกะทันหัน
นายสิราช เฟเกสซา รัฐมนตรีกลาโหม แถลงว่า สถานการณ์ความรุนแรงในเอธิโอเปียได้แพร่ขยายออกไปทั่วประเทศ แม้ว่ารัฐบาลจะประกาศห้ามการชุมนุมประท้วง แต่ก็ยังมีการสูญเสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง และทำลายเศรษฐกิจของประเทศ
ข่าวระบุว่า นายไฮเลมาเรียม เดซาเลจ์น ได้ประกาศลาออกอย่างไม่คาดคิด ผ่านการแถลงข่าวทางโทรทัศน์ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของเอธิโอเปียที่นายกรัฐมนตรีประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้การปฏิรูปเป็นไปอย่างราบรื่น
หลังจากนั้น 1 วัน รัฐบาลได้ประกาศภาวะฉุกเฉินขึ้นในรัฐบาลซึ่งพรรคร่วมรัฐบาล 4 พรรค ครองเก้าอี้ทั้งหมดในสภาทั้ง 547 ที่นั่ง และคาดว่าจะรับรองการประกาศภาวะฉุกเฉินภายใน 2 สัปดาห์
รายงานระบุด้วยว่า เอธิโอเปีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดและเติบโตรวดเร็วที่สุดในแอฟริกาตะวันออก และยังเป็นพันธมิตรสำคัญของชาติตะวันตกในการต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธมุสลิม แต่มักจะถูกกลุ่มสิทธิมนุษยชนวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลใช้อำนาจในการปราบปรามกลุ่มที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามรวมทั้งสื่อมวลชน
ขณะที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศหลักที่บริจาคเงินช่วยเหลือเอธิโอเปีย ได้ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยต่อความรุนแรงต่อการตัดสินใจประกาศใช้ภาวะฉุกเฉินดังกล่าว โดยสถานทูตสหรัฐ ประจำกรุงแอดดิสอาบาบา แถลงว่า “สหรัฐรับทราบถึงความห่วงกังวลของรัฐบาลเอธิโอเปียเกี่ยวกับความรุนแรงและการสูญเสียชีวิตที่เกิดขึ้น หากแต่สหรัฐเชื่อมั่้นว่าคำตอบคือเสรีภาพที่ดีขึ้น ไม่ใช่น้อยลง การประกาศใช้ภาวะฉุกเฉินเป็นการทำลายความก้าวหน้าในเชิงบวกที่ทำมา รวมไปถึงการปล่อยตัวนักโทษหลายพันคน
ทั้งนี้ เมื่อเดือนสิงหาคม 2560 เอธิโอเปียเพิ่งจะยกเลิกการประกาศภาวะฉุกเฉินที่ประกาศใช้อยู่นานถึง 10 เดือน หลังจากมีผู้คนนับร้อยเสียชีวิตระหว่างการประท้วงต่อต้านรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองของประเทศ