เว็บไซต์ taiwannews รายงานว่า สาวไทยที่ไปขายบริการทางเพศอยู่ที่ไต้หวัน โดยใช้วีซ่าท่องเที่ยว ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อเอชไอวี และมีความเป็นไปได้ที่จะมีลูกค้าที่เคยใช้บริการติดเชื้อเอชไอวีจากสาวไทยรายนี้ด้วย
โดยเมื่อวันที่ 3 เมษาย สำนักงานสาธารณสุขเขตไถตง ของไต้หวัน แจ้งว่า สาวไทยรายนี้ อายุ 24 ปี ใช้ชื่อว่า “แพตตี้” เดินทางถึงไต้หวันด้วยวีซ่าท่องเที่ยว เมื่อวันที่ 11
มีนาคม และได้ขายบริการทางเพศ ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม ถึงวันที่ 22 มีนาคม ในเขตไถตง โดยหาลูกค้าผ่านทางแอพพลิเคชั่นไลน์ และมีลูกค้าซื้อบริการทางเพศจากสาวรายนี้หลายสิบคนในช่วงเวลาดังกล่าว
เมื่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทำการตรวจร่างกายของสาวไทยรายนี้เมื่อวันที่ 2 เมษายน ก็พบว่า ติดเชื้อเอชไอวี และถูกเนรเทศกลับประเทศไทย
โดยเมื่อวันที่ 4 เมษายน นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค(คร.)กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า สำหรับในเรื่องการดูแลรักษาหญิงไทยผู้นี้ มีหลายประเด็น โดยอันดับแรกควรต้องติดตามและแนะนำให้คำปรึกษาในการตรวจสุขภาพ ตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีด้วยความสมัคร ซึ่งหากในกรณีมีการตรวจเชื้อแล้ว แต่ไม่พบเชื้อเอชไอวี ควรต้องแนะนำให้คำปรึกษาในการดำเนินชีวิตให้ปลอดภัยตลอดไป
“หากพบว่าติดเชื้อเอชไอวี แนะนำการวางแผนดูแลสุขภาพได้อย่างรวดเร็ว ให้เข้าสู่ระบบการดูแลรักษาทันที เพื่อให้ได้รับยาต้านไวรัส และป้องกันการถ่ายทอดเชื้อให้ผู้อื่น หยุดการแพร่ระบาดเชื้อเอชไอวี รวมทั้งส่งต่อในระบบการบริการดูแลสุขภาพ สถานบริการที่ใกล้บ้าน หรือสะดวกในการขอรับบริการ เพื่อการดูแลรักษาที่ต่อเนื่อง ตลอดไป” นพ.สมาน กล่าว และว่า ส่วนความเสี่ยงในการติดเชื้อจากคู่ที่มีเพศสัมพันธ์แล้วพบว่าติดเชื้อเอชไอวีนั้น ต้องบอกว่ามีความเสี่ยงอยู่แล้ว ยิ่งหากไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือถุงยากแตกฉีก แต่ความเสี่ยงมากหรือน้อยก็จะมีหลักในการพิจารณา เช่น ปริมาณและแหล่งที่อยู่ของเชื้อ (Quantity and Source) เชื้อเอชไอวี ต้องมีปริมาณมากพอจึงจะเกิดการติดเชื้อได้ในร่างกาย เชื้อเอชไอวีมีมากในเลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด และน้ำนมแม่ รวมไปถึง คุณภาพของเชื้อ เป็นต้น
