คอลัมน์ โกลบอลโฟกัส: จุดจบของ “นาจิบ ราซัก”

FILE PHOTO: REUTERS/Stephen Morrison/Pool/File Photo

ชั่วชีวิต 64 ปีของ นาจิบ ราซัก ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน ยิ่งไม่เคยตกที่นั่งลำบากมาก่อน

ในฐานะลูกชายของอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่สองของมาเลเซีย ทั้งยังเป็นหลานของอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 อีกต่างหาก ตำแหน่งผู้นำมาเลเซียจึงถูกเปรียบเปรยไว้ว่า เหมือนกับ “สิทธิพึงมี” ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยซ้ำไป

นาจิบ ผ่านการศึกษาจากโรงเรียนระดับ “หัวกะทิ” ของอังกฤษ พูดอังกฤษสำเนียงชัดเปรียะ คล่องปากกว่าใช้ภาษายาวีของบ้านเกิด แม้กระทั่งเมื่อตอนลงเล่นการเมืองใหม่ๆ ยังจำเป็นต้องใช้ยาวีคำอังกฤษสองอยู่ตลอดเวลา

บารมีและอิทธิพลของผู้เป็นบิดาอาจชดเชยระยะห่างระหว่างนาจิบ ราซัก กับรากหญ้าที่เป็นฐานเสียงสำคัญของตนเองได้ จักรกลทางการเมืองที่สั่งสมประสบการณ์ยาวนานนับตั้งแต่มาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษเรื่อยมา สามารถเป็นแรงส่งให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของประเทศได้เช่นเดียวกัน

Advertisement

และนั่นอาจทำให้เมื่อก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเมื่อกว่า 9 ปีก่อน นาจิบ ราซักและผู้คนแวดล้อมลืมเลือนสิ่งสำคัญยิ่งในทางการเมืองประการหนึ่ง นั่นคือความไว้วางใจ

นาจิบ และแนวร่วมแห่งชาติ (บีเอ็น) ไม่ได้ตระหนักว่า ในทางการเมืองมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะต้องตระหนักถึงความจำเป็นในการ ปลูกสร้าง บ่มเพาะ และธำรงรักษา “ความไว้วางใจ” ที่ประชาชนมีต่อตนเองและพรรคการเมืองของตนเองให้เจริญเติบโต งอกงามให้ได้

นาจิบ กลับทำในสิ่งตรงกันข้าม

Advertisement

ดังนั้น นาจิบ ราซัก จึงแพ้แล้ว ไม่เพียงแพ้ในการเลือกตั้งอย่างหมดรูปและชวนให้แตกตื่นตกใจเท่านั้น ยังตกที่นั่งลำบากอย่างยิ่ง ลำบากมากกว่าทุกครั้งที่เคยพานพบมาในชีวิต

ตกเป็นจำเลยที่ถูกกล่าวหาในคดีคอร์รัปชันที่ใหญ่หลวงที่สุดในประวัติศาสตร์ของมาเลเซีย ถูกห้ามเดินทางออกนอกประเทศ บุกตรวจค้นบ้านพัก ต้องเผชิญกับคดีที่อาจลงเอยด้วยการยึดทรัพย์ขนานใหญ่

ที่สำคัญก็คือ อนาคตทางการเมืองของอดีตผู้นำวัย 64 ปีผู้นี้ ไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว

 

 

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ แม้แต่ก่อนก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ชื่อเสียงของ นาจิบ ราซัก ไม่ได้สะอาดสดใสแต่อย่างใด ชื่อของเขาพัวพันอยู่กับคดีอื้อฉาวมาตั้่งแต่เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม ในปี 2006

ตามข้อมูลของนิวยอร์ก ไทม์ส ในปีนั้นเกิดคดีอื้อฉาวขึ้น เกี่ยวข้องกับ “อัลตันตูยา ชารีบู” เมียน้อยชาวมองโกเลียของ อัลดุล ราซัก บากินดา ผู้ทำหน้าที่เป็น “ที่ปรึกษา” ของนาจิบ

ชารีบู ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม ระเบิดจนร่างแหลกเป็นจุณด้วยวัตถุระเบิด “มิลิทารี เกรด” ที่จะมีใช้กันก็แต่ในแวดวงของกองทัพเท่านั้น

องครักษ์ ที่ทำหน้าที่อารักขา นาจิบ ราซัก 2 คน ถูกจับกุมและในที่สุดก็ถูกพิพากษาว่ากระทำความผิดจริงฐานกระทำฆาตกรรมดังกล่าว

แต่จนถึงขณะนี้ ทางเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนของฝรั่งเศส ก็ยังตรวจสอบอยู่ว่า นาจิบ ราซัก มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงิน “คอมมิสชัน” จำนวนราว 130 ล้านดอลลาร์ ที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดซื้อเรือดำน้ำฝรั่งเศสหรือไม่ เนื่องจากพบว่า ก่อนหน้าที่จะถูกสังหาร อัลตันตูยา ชารีบู กล่าวอ้างเอาไว้ว่า เธอกำลังจะมีเงินก้อนโต อย่างน้อยครึ่งล้านดอลลาร์ จากการทำหน้าที่เป็น “คนกลาง” ทำให้เกิดความตกลงจัดซื้่อดังกล่าวนั้น

แต่เรื่องอื้อฉาวที่สุดของ นาจิบ ราซัก กลับเกิดขึ้นหลังจากที่ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว

ปี 2015 ระเบิดที่ชื่อ “1เอ็มดีบี” ระเบิดใส่หน้านาจิบ เมื่อนักการเมืองฝ่ายค้านกับผู้สื่อข่าวสอบถามขึ้นมาว่า เงินในกองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐที่ใช้ชื่อ “1 มาเลเซีย เดเวลลอปเมนท์ เบอร์ฮัด-วันเอ็มดีบี” จำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ หายหกตกหล่นไปอยู่ที่ใด?

“1เอ็มดีบี” เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2009 ในฐานะเป็นวิธีที่จะนำ “ความรุ่งโรจน์” มายังมาเลเซียมากขึ้นไปอีก ผ่านการไปลงทุนในกิจการที่เหมาะสมในต่างประเทศ และโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ

นาจิบ ราซัก มีชื่อเป็นผู้รับผิดชอบกำกับดูแล “1เอ็มดีบี” มาตั้งแต่ตอนนั้น

 

แม้จะถูกตั้งข้อกังขา แต่นาจิบ ราซัก ยังคงปฏิเสธทุกอย่างชนิดไม่สะดุ้งสะเทือน แม้กระทั่้งเมื่อมีระเบิดมหึมาไล่ตามหลังมาอีกลูก เมื่อ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา(ดีโอเจ) เปิดเผยผลการสอบสวนเบื้องต้นกรณีคอร์รัปชันที่เกี่ยวเนื่องกับ “1เอ็มดีบี” ระบุว่า “เจ้าหน้าที่ทางการมาเลเซียหมายเลข1” เป็นผู้ยักย้ายถ่ายเทเงินจำนวน 713 ล้านดอลลาร์ ออกจากกองทุน 1 เอ็มดีบี เข้ากระเป๋าตนเอง

เจ้าหน้าที่ดีโอเจผู้หนึ่ง ยืนยันกับนิวยอร์ก ไทม์ส เอาไว้ว่า “เจ้าหน้าที่ทางการมาเลเซียหมายเลข1” ที่ว่านั้น เป็นคำที่ทางกระทรวงฯหมายถึง นาจิบ ราซัก ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ในเวลานั้น

เงินจำนวนมหาศาลนั้นถูกโอนเข้าบัญชีส่วนตัวของนาจิบ กับถูกใช้ไปส่วนหนึ่งเพื่อซื้อข้าวของเครื่องใช้หรูหราให้กับ รอสมาห์ มานซอร์ ภรรยาของท่านนายกฯ

รวมทั้งสร้อยเพชร “สีชมพู” ขนาด 22 กะรัตมูลค่า 27.3 ล้านดอลลาร์

เงินส่วนหนึ่งอีกกว่า 200 ล้านดอลลาร์ ถูกนำไปใช้เพื่อซื้อ งานจิตรกรรมของ โมเนท์, แวนโกะห์ และ วอร์ฮอล กับศิลปินระดับโลกอื่นๆ

ในข้อกล่าวหาของ ดีโอเจ ยังระบุเอาไว้ด้วยว่า จำนวนทั้งหมดที่ถูกยักย้ายถ่ายเทออกจากกองทุนดังกล่าวรวมแล้วมากกว่า 4,500 ล้านดอลลาร์ นำไป “ฟอก” ผ่านธนาคารอเมริกันหลายธนาคาร ส่งผลให้ “นาจิบและครอบครัว” รวมทั้งเพื่อนสนิทมิตรสหาย ร่ำรวยกันถ้วนหน้า

250 ล้านดอลลาร์จากเงินจำนวนดังกล่าวนั้น ถูกใช้ไปเพื่อจัดซื้อ “เมกะยอร์ชท์” เรือยอร์ชท์ขนาดใหญ่ มีทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แม้กระทั่งลานจอดเฮลิคอปเตอร์ โรงภาพยนตร์ขนาดย่อม เป็นเรือที่ต่อขึ้นเป็นการเฉพาะตามคำสั่งของ ยะโฮ ลอว์ นักการเงินที่เป็นเพื่อนสนิทของ ริซา อาซิซ บุตรบุญธรรมของนาจิบ

ลอว์ กลายเป็นตัวละครสำคัญในแผนทั้งหมดตามคำกล่าวหาของดีโอเจ อัยการของรัฐบาลกลางสหรัฐกล่าวหาว่า เขาพยายามสร้างอิทธิพลในแวดวงฮอลลีวู้ด โดยการใช้เงินจาก 1เอ็มดีบี ซื้อภาพจิตรกรรมที่เป็นผลงานของ จิตรกรเลื่องชื่อระดับโลกอย่าง “ปิกัสโซ” มูลค่า 3.2 ล้านดอลลาร์ ให้เป็น “ของขวัญวันเกิด” กับ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ

อีก 8 ล้านดอลลาร์ ถูกใช้เป็นเพื่อซื้อ “เครื่องเพชร” เป็นของขวัญอีกเหมือนกับให้กับ มิแรนดา เคอร์ นางแบบสาวชาวออสเตรเลีย

เมื่อเรื่องฉาวขึ้นมา ทั้ง ดิคาปริโอ และ มิแรนดา เคอร์ ต่างส่ง “ของขวัญ” พิเศษดังกล่าวคืน

เมื่อมีการตรวจสอบพบเงิน 681 ล้านดอลลาร์โอนเข้ามาในบัญชี “ส่วนตัว” นาจิบ ราซัก อธิบายง่ายๆว่า เงินดังกล่าวเป็น “ของขวัญ” จาก “ผู้อุปถัมภ์” ชาวซาอุดีอาระเบีย

เมื่ออัยการสูงสุดมาเลเซีย รวบรวมหลักฐานทั้งหมด เตรียมดำเนินคดีในกรณีนี้ต่อนายกรัฐมนตรี นาจิบชิงประกาศปลดออกจากตำแหน่ง

ในที่สุด ทีมสืบสวนสอบสวนของทางการ ก็แถลงว่า นาจิบ ไม่ได้กระทำผิดใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับกรณี

 

 

นับตั้งแต่เกิดกรณีอื้อฉาวนี้ขึ้น นาจิบ ใช้ทุกวิถีทางเท่าที่อยู่ในอำนาจจัดการกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหลาย ตั้งแต่ไล่ปิดสื่อทั้งหลายที่พยายามเปิดโปงกรณีนี้ รวมทั้ง ซาราวัก รีพอร์ต เว็บบล็อก และ ดิเอดจ์ สื่อสิ่งพิมพ์ ที่เป็นผู้บุกเบิกทำข่าวสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้ ดิเอดจ์ ถูกปิดไปอย่างน้อย 3 เดือนในช่วงหนึ่ง ส่วน ซาราวัก รีพอร์ต นั้นถูกบล็อกมาจนวันเลือกตั้งที่ผ่านมา

แม้แต่นักเขียนการ์ตูนล้อ ที่นิยมเขียนภาพ รอสมาห์ มานซอร์ ภริยานายกรัฐมนตรีกับแหวนเพชรเม็ดมหึมาเกินจริงบนนิ้ว ยังถูกตั้งข้อหา “ปลุกปั่นยุยง” 9 ข้อหาต่างกรรมต่างวาระ ถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลมีโทษสูงสุดถึงจำคุก 43 ปี

เจมส์ ชิน ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียของมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า คนที่โกงเงินมหาศาลแล้วโอนเงินเหล่านั้นเข้าบัญชีตัวเองนั้น ถ้าไม่โง่มากก็ต้องโอหังอย่างมากจากความมั่นใจที่ว่า ไม่มีใครในมาเลเซียจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดกับตนเองได้

กระนั้น นาจิบ ราซัก ก็ไม่สามารถปิดปากทุกคนได้ในทุกช่องทางของโลกแห่งการสื่อสารทุกวันนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากคนที่วิพากษ์วิจารณ์ได้เผ็ดร้อน และหนักหนาสาหัสที่สุด เป็นบุตรีบุญธรรมของตนเอง

อัซรีน อาหมัด บุตรีบุญธรรมของนาจิบ กับ รอสมาห์ วิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของพ่อกับแม่บุญธรรมของตนแบบไม่ยั้ง ตั้งแต่พฤติกรรมของผู้เป็นมารดาที่นิยม “ช่าเหมาลำ” เครื่องบินเพื่อ “ไปช็อปปิ้ง” ถึงยุโรปและออสเตรเลีย ด้วย “เงินภาษี” ของชาวมาเลเซีย รสนิยมกระเป๋าแบรนด์เนมหรู แอร์เมส เบอร์กิน ราคาใบละล้าน-สองล้านบาท

นิวยอร์ก ไทม์ส อ้างคำบอกเล่าของ “นายหน้า” รายหนึ่งระบุว่า เฉพาะ แอร์เมส เบอร์กิน ในครอบครองของ รอสมาห์ มีมูลค่าอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 10 ล้านดอลลาร์

แถมยังมี “คลังรองเท้า” ที่จำนวนมีแต่จะเกินหน้าเกินตาคลัง “รองเท้าหรู” ของ อิเมลดา มาร์กอส อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ผู้อื้อฉาวของฟิลิปปินส์ด้วยอีกต่างหาก

อัซรีน เขียนเอาไว้ใน อินสตาแกรม ส่วนตัว ระบุเอาไว้ว่า ตนได้เห็นเป็นประจักษ์ในการ “ละเมิดกฎหมาย, ทำความตกลง, จับไม้จับมือกัน เพื่อผลประโยชน์แห่งอำนาจ และเพื่อกระพือโหมความอยากได้ใคร่มีทั้งหลาย
“บัญชีในต่างแดนหลายต่อหลายบัญชีที่เปิดขึ้นมาเพื่อฟอกเงินสำหรับนำมาใช้จ่ายเป็นการส่วนตัว…ตู้เซฟเหล็กที่เต็มไปด้วยเพชร, อัญมณีมีค่า และเงินสดเป็นกองๆ เตรียมไว้พร้อมสรรพสำหรับคนที่ทำหน้าที่ ฟอกเงิน”

อัซรีน บันทึกเอาไว้ตอนหนึ่งด้วยว่า

“วันที่ฉันผละออกมาจากบ้าน ได้ทิ้งคำเตือนเอาไว้แล้ว

“คงจะมีสักวัน ที่ประชาชนจะลงโทษพวกคุณที่ได้ล่วงละเมิดต่อพวกเขาเอาไว้ คงมีสักวันที่พระเป็นเจ้าจะลงโทษที่พวกคุณได้ล่วงละเมิดต่อพระองค์ ประชาชนพวกนี้ไม่ใช่หรือที่คุณสาบานเอาไว้ว่าจะปกป้องพวกเขา”

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม เมื่อผลการเลือกตั้งครั้งนี้ปรากฏชัด อินสตาแกรมของ อัซรีน ปรากฏข้อความดังนี้

“วันนี้ ถือเป็นวาระสิ้นสุดของทรราชที่คนหลายคนเฝ้าสวดอ้อนวอนไว้แล้ว”!!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image