ปลดล็อกความคิดพ่อแม่ เมื่อลูกเป็น LGBTQ+
ลองเปิดใจและปรับความคิด ในการบรรยายพิเศษ ‘อยู่อย่างสุข กับลูก LGBTQ+’ เนื่องในเดือนแห่งการเฉลิมฉลอง Pride month ของ ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หรือหมอโอ๋ กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น ผู้ก่อตั้งคลินิกเพศหลากหลาย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จัดโดย เพจเฟซบุ๊ก Net PAMA: เน็ตป๊าม้า
‘ระบบสมอง’ จุดเริ่มต้นเป็นแอลจีบีทีคิว
ผศ.พญ.จิราภรณ์ เล่าว่า ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าอัตลักษณ์ทางเพศ เกิดจากอะไรที่เป็นสาเหตุแน่ชัด แต่คิดว่าเป็นการทำงานร่วมกันในปัจจัยทางชีวภาพ อาจเป็นเรื่องกรรมพันธุ์ ยีน สมอง ฮอร์โมนที่ได้รับและพัฒนามาตั้งแต่ในครรภ์ รวมถึงปัจจัยการเลี้ยงดู และปัจจัยทางวัฒนธรรมสังคมต่างๆ ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้เพศของเรา
“ในสมองของคนข้ามเพศ อย่างหญิงข้ามเพศ มีงานวิจัยพบว่า สมองบางส่วนมีหน้าตาคล้ายเพศหญิง นี่เป็นปัจจัยภายใน ซึ่งเมื่อรับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อม ก็ทำให้เด่นชัดขึ้น”
ในต่างประเทศได้ทำการศึกษาวิจัยกับเด็กฝาแฝดเพศเดียวกัน ทั้งไข่ใบเดียวกัน และไข่คนละใบ ด้วยสมมุติฐานว่าหากคนนึงไม่มีความสุขกับเพศสภาพตัวเอง จะมีความสัมพันธ์กันกับอีกคนอย่างไร พบว่าในส่วนแฝดไข่ใบเดียวกัน หากคนนึงเป็น อีกคนจะมีโอกาสเป็น 39 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเด็กแฝดไข่คนละใบ ที่ไม่ได้เชื่อมโยงในปัจจัยทางชีวภาพ หากคนนึงเป็น อีกคนจะมีโอกาสเป็น 0 เปอร์เซ็นต์
งานวิจัยข้างต้นสรุปว่าปัจจัยทางชีวภาพ น่าจะมีผลกับการที่เด็กคนนึงจะมีเพศเป็นอย่างไร ส่วนความเชื่อว่าการเลี้ยงลูกกำหนดเพศได้ มีงานวิจัยในต่างประเทศก็ยืนยันแล้วว่าไม่จริง จากกรณีเด็กชายคนหนึ่งที่สูญเสียอวัยวะเพศชาย จากนั้นถูกเปลี่ยนการเลี้ยงดูให้เป็นเด็กผู้หญิง อีกทั้งมีการฉีดฮอร์โมนเพศหญิงเข้าไป สุดท้ายก็ยังเติบโตมาเป็นผู้ชายอยู่ดี ซึ่งหมอโอ๋ชี้ว่า เสมือนว่าสมองได้โปรแกรมมาตั้งแต่แรกแล้ว
พ่อแม่ต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ลูกผศ.พญ.จิราภรณ์ เล่าอีกว่า ความเป็นเพศยังมีความลื่นไหล หรือเปลี่ยนแปลงได้ตลอดชีวิต แต่ละคนไม่เหมือนกัน เด็กบางคนมีความเป็นเพศเด่นชัดมาก อย่างที่เคยเจอคือ ตั้งแต่ 3 ขวบ ที่บอกชัดเจนเลยว่าเขาเป็นอีกเพศหนึ่ง ก่อนติดตามดูจน 9 ขวบ เขาก็ยังไม่เปลี่ยน
“ก็ขึ้นอยู่กับเด็กแต่ละคนจะมีความเข้าใจ หรือพ่อแม่เปิดพื้นที่ให้เขาแสดงตัวตนมากน้อยแค่ไหน หลายครั้งที่เราไปคาดเดาตามกรอบเพศ เช่น เห็นลูกชายเล่นตุ๊กตา แล้วคิดว่าลูกเป็นตุ๊ด แต่จริงๆ เขาอาจเป็นผู้ชายชอบอะไรที่อ่อนโยนก็ได้ ฉะนั้นอย่าไปตีกรอบ แต่ควรคิดว่าไม่มีของเล่นอะไรที่เด็กแต่ละเพศไม่ควรเล่น อย่างเด็กผู้ชายเล่นขายของได้ อยากลองเอารองเท้าส้นสูงของแม่มาลองสวม หรือเด็กผู้หญิงเล่นรถบังคับ ด้วยความอยากรู้อยากลองก็ได้”
“ไม่สำคัญว่าเด็กจะเป็นอะไร ตอนอายุเท่าไหร่ แต่มันเป็นเรื่องการให้เวลาที่จะเห็นซึ่งเหล่านั้น และพูดออกมา”
หมอโอ๋แนะนำให้พ่อแม่ใช้เวลาร่วมกับลูก เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เขา เพื่อสักวันหนึ่งลูกจะกล้าคุยเรื่องนี้กับพ่อแม่ด้วยตัวเขาเอง และเมื่อวันนั้นมาถึง ไม่ว่าจะรู้สึกช็อกเท่าไหร่ พ่อแม่ก็ควรแสดงท่าทีให้ลูกรู้สึกปลอดภัยและเหมือนโอบกอด
“วินาทีนั้นอย่าเพิ่งคิดเผื่อว่าลูกเป็นอย่างนั้น ชีวิตจะแย่ไหม มันเกิดจากเรารึเปล่า แต่ให้อยู่กับเขาตรงนั้นก่อน พูดขอบคุณลูกที่กล้าบอก แสดงความดีใจที่พ่อแม่เป็นพื้นที่ปลอดภัยกับลูก และอาจแสดงความซื่อสัตย์อย่างตรงไปตรงมา เช่น คำพูดว่าพ่อยังงงๆ ไม่เข้าใจว่าตรงนี้เป็นยังไง หนูช่วยอธิบายให้ฟังว่ามันเป็นอย่างไร”
หมอโอ๋ชี้ว่าแม้พ่อแม่อาจยังไม่ได้รู้สึกยอมรับ แต่ท่าทีของการรับฟัง จะเป็นโอกาสให้เกิดบทสนทนา
ลูกเป็น LGBTQ ‘ทุกข์-สุข’ อยู่ที่คิด
ผศ.พญ.จิราภรณ์ เล่าต่ออีกว่า จริงๆ พ่อแม่เลือกได้ว่ายังเชื่อแบบเดิมแล้วทำร้ายลูก หรือลองปรับความเชื่อเพื่อโอบอุ้มลูก ด้วยการตั้งคำถามกับความเชื่อของเรา แล้วจะพบว่ามันไม่จริง อย่างเชื่อว่าที่ลูกเป็นอย่างนี้เกิดจากการเลี้ยงดูของเขา เราเป็นพ่อแม่ที่ไม่ได้เรื่อง ตรงนี้ยังไม่มีงานวิจัยที่แสดงออกมาชัดเจน ว่าการเลี้ยงดูมีผล ฉะนั้นปลดล็อกซะ
“หากกังวลว่าลูกจะไม่ถูกยอมรับ พ่อแม่นี่แหละต้องลุกขึ้นมายอมรับลูกก่อน จะทำให้เขามีพลัง ส่วนความกังวลและความคาดหวังต่างๆ ลองถามตอบกับตัวเองว่าเป็นที่เราคิดเองหรือไม่ เพราะลูกไม่ว่าเป็นอย่างไร เขาก็มีความสุขได้กับธรรมชาติของเขา”
หมอโอ๋เชื่อว่าเทคนิคการรับฟังลูก ปรับความคิด ยังช่วยให้เกิดความสุขในแง่มุมอื่นๆ ของชีวิต เช่น ลูกเรียนไม่เก่ง แต่พ่อแม่ก็ยอมรับในตัวเขา
“นี่เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข หากทำถึงจุดนี้ได้ วันนั้นจะเป็นพ่อแม่ที่สมบูรณ์” ผศ.พญ.จิราภรณ์กล่าวทิ้งท้าย