แค่ให้ ‘โอกาส’ คนตาบอดก็ทำได้ดีไม่แพ้ใคร มองไม่เห็นไม่ใช่อุปสรรคในการไล่ล่าความฝัน

แค่ให้ ‘โอกาส’ คนตาบอดก็ทำได้ดีไม่แพ้ใคร มองไม่เห็นไม่ใช่อุปสรรคในการไล่ล่าความฝัน

“เพียงได้รับโอกาสให้ได้ทำตามความฝัน คนตาบอดก็สามารถทำได้ดีไม่แพ้ใคร” การันตีได้จากความสามารถของน้อง ๆ นักเรียนโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่มีโอกาสเดินตามความฝันไปบนถนนสายดนตรี และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มีรายได้เลี้ยงตัวเองจากอาชีพนักร้องและนักดนตรี แต่กว่าจะถึงวันนี้น้อง ๆ ต้องอดทนและใช้ความพยายามมากแค่ไหน? 

นักร้องสายดีว่า ตัวแม่ “ตั๊ก อธิศรี สงเคราะห์” ที่หลายคนคุ้นเคยกับเสียงหวาน ๆ ในบทเพลง แก้วกัลยา เป็นหนึ่งในศิษย์เก่าโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ โดยหลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะดุริยางคศาสตร์ เอกขับร้อง มหาวิทยาลัยศิลปากร ยึดอาชีพเป็นนักร้อง สามารถร้องเพลงได้หลากหลายแนว แต่สไตล์ที่ชอบ คือการได้ใช้พลังเสียงหนัก ๆ ซึ่งถือเป็นความท้าทายของตัวเธอเองด้วย ที่เมื่อยิ่งได้ฝึกก็ยิ่งสนุกและอยากที่จะพัฒนาตัวเองต่อไปอีกเรื่อย ๆ โดยปัจจุบันมีงานประจำอยู่ที่โรงพยาบาลสมิติเวช และเป็นอีกหนึ่งในศิลปินร่วมขับร้องในงานคอนเสิร์ตการกุศล “สายใยดุจสายฝน” จัดโดยมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์

“ตั๊ก” รักในเสียงเพลงตั้งแต่เด็ก และเริ่มต้นฝึกฝนพื้นฐานด้านการร้องเพลงจากโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพฯ ถึง 9 ปีก่อนออกไปศึกษาต่อตามเส้นทางที่มุ่งมั่น ซึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งมาจากความมุ่งมั่นและพยายามของตัวเธอเอง บวกกับแนวคิดเชิงบวกที่ว่าข้อจำกัดไม่ใช่อุปสรรค แต่เชื่อว่าจะมีหนทางอยู่เสมอหากมีความพยายามฝึกฝน และทำในสิ่งที่ตนเองรักจริง ๆ

Advertisement
“ตั๊ก อธิศรี สงเคราะห์”

“โรงเรียนสอนคนตาบอดฝึกฝนให้เราสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมทั่วไปได้อย่างปกติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมารยาทการเข้าสังคม การอยู่ร่วมกับผู้อื่น เป็นสถานที่ช่วยจุดประกายฝันในการเป็นนักร้อง และเมื่อมุ่งมั่นเอาดีด้านการร้องเพลง ที่นี่ เป็นเวทีให้เราได้ฝึกฝน และยังเป็นสถานที่แห่งโอกาส ช่วยผลักดันให้ได้มีโอกาสแสดงความสามารถ ต่อยอดโอกาสการเป็นนักร้องอาชีพจนปัจจุบัน ดังนั้น เมื่อมีโอกาสได้ตอบแทนโรงเรียน และมูลนิธิฯ ก็ยินดีช่วยอย่างเต็มความสามารถ อย่างงานคอนเสิร์ตครั้งนี้ก็มา เป็นการสนับสนุนน้อง ๆ ในเรื่องการศึกษาที่จำเป็น เราอยากให้น้อง ๆ มีสิ่งอำนายความสะดวกมากขึ้นกว่ารุ่นเรา และอยากให้น้อง ๆ รุ่นต่อไปสบายมากขึ้น ต้องไม่ลืมว่าที่เราสบายมากขึ้นก็เพราะว่ารุ่นพี่ปูทางมาให้ จึงอยากให้น้อง ๆ ส่งต่อให้กับรุ่นถัดๆ ไปด้วย” ตั๊ก กล่าว

แม้อาชีพนักร้องจะไม่ใช่เป้าหมายของ “พั้น” หรือ พัทธนันท์ อรุณวิจิตรสกุล เพราะเป็นคนขี้อายไม่กล้าแสดงออก แต่ความชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็กและอยากเจอศิลปินในดวงใจ “บี้ เดอะสตาร์” ทำให้ตัดสินใจขอครอบครัวไปเรียนร้องเพลง และเรียนจบปริญญาตรีด้านดนตรี วิชาเอกละครเพลง โดยปัจจุบันทำงานเป็นพนักงานประจำของเอฟ.เอ็น. เอาท์เล็ต รับหน้าที่ร้องเพลงให้กำลังใจกับผู้ป่วยตามโรงพยาบาล

พั้น พัทธนันท์ อรุณวิจิตรสกุล

“พั้นชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก มีพื้นฐานจากโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพฯ ซึ่งนอกจากสอนทักษะการใช้ชีวิตแล้ว ยังสอนเรื่องดนตรีและร้องเพลงด้วย ตอนนั้นไม่ได้ฝันจะเป็นนักร้อง เพราะไม่กล้าแสดงออกมักฝึกร้องกับครูแค่สองคน ตอนหลังครูพาไปโชว์บ่อย ๆ สุดท้ายกลายเป็นอาชีพที่ทำให้เรามีความสุขมาก ๆ เรารู้สึกว่าเสียงเพลงเป็นเหมือนเพื่อน ทำให้มีเรามีความสุข ดังนั้น จึงไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากในการก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ โดยเฉพาะการมองไม่เห็น หลายคนอาจมองว่านี่เป็นพรสวรรค์ของคนตาบอด แต่พั้นเชื่อในความมุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง เพราะที่ผ่านมาเรียนเยอะมาก และคิดว่าต้องเรียนเพิ่มเติมอีกต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อเราเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิมในทุกวัน”

Advertisement

แรงสนับสนุนจากครอบครัวถือเป็นแรงสนับสนุนสำคัญที่ทำให้ “น้องพั้น” มีอาชีพและรายได้มั่นคงในระดับหนึ่ง จากการทำงานประจำและรับงานจ้างพิเศษ แต่ความฝันของเธอไปไกลกว่านั้นคือ ต้องการไปเรียนต่อทางด้านดนตรีในต่างประเทศ เพื่อนำความรู้มาช่วยพัฒนาเด็กตาบอด โดยเฉพาะในโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพฯที่เธอเป็นศิษย์เก่า เพราะมองว่าค่าใช้จ่ายในการเรียนร้องเพลงสูงมาก ทำให้เด็กหลายคนไม่มีโอกาสทำตามความฝัน ซึ่งหากน้อง ๆ อยากประสบความสำเร็จ ต้องมีความมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ต้องอดทนไม่ยอมแพ้ และกล้าเป็นตัวเอง

อีกคน คือ หนุ่มน้อยที่มากความสามารถอีกหนึ่งคน “โฟกัส เด็กชายปัญญากร พิมพา” วัย 11 ปี ที่หลงไหลในดนตรี สามารถเล่นเปียโน และอังกะลุงได้ ร้องเพลงก็เก่งจนได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในทีมนักร้องประสานเสียง โดย โฟกัส มีความสนใจในหลายเรื่อง แต่ก็ได้ตั้งเป้าหมายของตัวเองไว้แล้วว่า โตขึ้นเมื่อจบการศึกษาจะเป็นครูสอนเปียโน เพื่อมอบโอกาสให้คนอื่น ๆ ที่สนใจอยากเรียนเปียโน ที่รักในด้านดนตรีให้เขามีความสามารถ มีวิชาติดตัวเหมือนกับเราที่ได้รับโอกาสนี้มา

โฟกัส ปัญญากร พิมพา

“ตอนผมฟังเปียโนแล้วชอบมาก จึงทดลองเรียนตั้งแต่อายุ 7-8 ขวบ และเมื่อเรียนแล้วรู้สึกชอบมาก คิดว่าอยากเป็นครูสอนเปียโน เลยตั้งใจเรียนมาเรื่อย ๆ แนวเพลงที่ชอบเล่นเปียโน จะเป็นสไตล์เพลงป๊อป และชอบฟังเพลงแนวสตริง ฟังสบาย ๆ ตอนนี้ก็เรียนควบคู่ไปกับการเรียนว่ายน้ำด้วย และอักษรเบรลล์ ญี่ปุ่น ซึ่งผมชอบญี่ปุ่นก็เลยสนใจที่จะเรียน” โฟกัสกล่าว และบอกว่า ผมเองยังต้องพยายามในทุก ๆ เรื่องต่อไป

โฟกัส ซึ่งกำลังเรียนอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพฯ บอกว่า “โรงเรียนแห่งนี้ได้มอบโอกาสให้ในหลายเรื่อง ทั้งความรู้ และทักษะต่าง ๆ เป็นโอกาสที่ตนเองไม่ได้จากที่อื่น แต่ที่นี่ให้กับทุกคน ซึ่งการไปร่วมร้องประสานเสียงในคอนเสิร์ตครั้งนี้ ก็เป็นโอกาสที่ผมได้ไปแสดงความสามารถ ไปแสดงให้ผู้ชมได้รู้ ได้ฟัง และผมเองก็มีโอกาสที่จะส่งมอบรอยยิ้ม และเสียงเพลงที่ผมร้องให้กับผู้ฟังด้วย โดยเฉพาะในคอนเสิร์ตครั้งนี้อยากให้ทุกคนมาให้กำลังใจ”

ขอเชิญชวนมาร่วมกันสานฝันที่มองไม่เห็นให้เป็นจริง ..ทุกท่านจะอิ่มเอมใจและรู้สึกได้ว่า “เพียงได้รับโอกาสให้ได้ทำตามความฝันคนตาบอดก็สามารถทำได้ดีไม่แพ้ใคร..จริงๆ มาร่วมปันความสุขสายใยความผูกพันดั่งสายฝนให้ชุ่มฉ่ำใจอย่างไม่ขาดสายแก่น้องๆ ด้วยกัน  โดยในปีนี้ทางมูลนิธิฯ จึงได้ร่วมมือกับ อาจารย์ดนู ฮันตระกูล  และวงไหมไทยออร์เคสตร้า จัดการแสดงคอนเสิร์ตการกุศล “สายใยดุจสายฝน” ร่วมด้วยคณะนักร้องประสานเสียงศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ และศิลปินรับเชิญ กบ-ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี ป็อด-ธนะชัย อุชชิน ปาน-ธนพร แวกประยูร สปาย-ภาสกรณ์ รุ่งเรืองเดชาภัทร ผิงผิง-สรวีย์ ธนพูนหิรัญ

โดยคอนเสิร์ตจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน 2566 นี้ เวลา 14.00 น. ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย รายได้จากการจำหน่ายบัตรสบทบทุนโครงการพัฒนาทักษะทางดนตรีของครูและนักเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ ผ่านไทยทิคเก็ตเมเจอร์ www.thaiticketmajor.com ทุกช่องทาง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image