กระจู๋…ของเดวิด

กระจู๋...ของเดวิด

กระจู๋…ของเดวิด

อย่างที่ทราบกัน ใครไปยุโรปแล้วไม่แวะโรม เชยบรมมาเชยเลย…

ดังนั้น เมื่อตอนที่อยู่ที่นั่นจึงมีโอกาสได้ต้อนรับคนไทย ทั้งที่เคยรู้จักกันมาก่อนบ้าง หรือมีใครฝากมาก็ตาม จำกันไม่หวัดไม่ไหว

แต่มีขอบเขตของการดูแลให้ได้ในเฉพาะ… ตั้งแต่วาติกันถึงโคโลเซียม เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ตามรายทางให้เพลิดเพลินและดูเหมือนจะได้จำนวนมากกว่าไปซื้อตั๋วทัวร์ที่โรงแรมจัดให้เสียอีก

แถมเวลาช็อปปิ้งแล้วช่วยต่อราคาให้ด้วยไม่ต้องเผื่อเพื่อทำตัวเป็นเปรตกลับมาขอส่วนบุญ “ค่าน้ำ” แบบมัคคุเทศก์เขาทำกันเป็นอาชีพ

Advertisement

แต่ข้าราชการระดับสูงที่มีพ่อค้าตามไปเป็นกระเป๋าสตางค์ให้ก็มีบ่อย ส่วนใหญ่ไม่หนีเรื่องขอให้หาสาวอิตาเลียนไปบำเรอความสุขทางกาม เพื่อเก็บเอาไปคุยโอ้อวดยามกลับไปถึงเมืองไทยว่า “ถึงโรม” เรียบร้อยแล้ว

แต่ก็หงายหน้ากลับไปทุกราย เพราะที่นี่ไม่มี “ไอ้โก” หรือ “มาม่าซัง” มีแต่นักเรียนศิลปะที่หยิ่งยโสพอแรง

อีกอย่างกฎหมายเรื่องจัดหาหญิงบริการหนักและรุนแรงมาก

Advertisement

จู่ๆ วันหนึ่ง มีอาคันตุกะที่ไม่คาดฝันมาเยือนถึงร้านกาแฟแหล่งสิงสถิตของนักเรียนไทย เป็นรุ่นพี่กว่าชื่อ สมพิศ ซึ่งน่าจะเปลี่ยนเป็น สมเพช เสียมากกว่า

เพราะคุณเธอเป็นกะเทย อ้วนเตี้ย ผิวดำตั้งแต่หัวจรดเท้า แถบหัวเถิกอีกต่างหาก

มองไม่เห็นวี่แววว่า พี่แกมีส่วนไหนของร่างกายที่สมควรมีพฤติกรรมในการเบี่ยงเบนกลายเป็นเพศตรงกันข้ามกับเขาได้เลย

อย่างว่าแหละ กะเทยยุคนั้นที่ดังๆ ต้องเป็นไฮโซ มีฐานะ และไม่แต่งเป็นหญิง คงลองแต่งดูที่บ้านแล้วส่องกระจกแม้จะวิเศษ หรืออิมพอร์ตมาจากเมืองนอกขนาดไหนก็ตาม แล้วอดสยดสยองกับภาพของตนเองไม่ได้นั่นเอง

ดังนั้น กะเทยที่แต่งกายเป็นหญิงจึงโลว์คลาสกว่า พบได้ตอนดึกๆ ตามสวนลุมฯ สนามหลวง และริมคลองหลอด คละเคล้าไปกับผู้หญิงหากิน จนมีคำเรียกผู้คนวิปริตเหล่านี้ว่า “ผีขนุน”

“อย่าหาว่าฉันมาหาพวกเธอทีหลังนะ เพราะพอถึงอิตาลีปุ๊บ! ก็แหกขี้ตาจับทัวร์ไปฟลอเรนซ์ก่อนเลย เพราะอยากดูกระจู๋ของรูปสลักเดวิด ที่พวกเราชาวกะเทยโหวตกันแล้วว่า เป็นกระจู๋ที่สวยที่สุดในโลก โอ้ย! งามจับตาจับใจจริงๆ”

“ผมว่า ถ้าคุณสมพิศไปกับทัวร์แบบนี้ ไม่ได้ดูของจริงแน่”

“หา…ว่าไงนะ มีของจริงของปลอมด้วยเหรอ”

“ไม่ใช่ปลอม แต่เขาจำลองเหมือนทุกอย่าง ส่วนมากเพื่อความสะดวกในการพาลูกทัวร์ ไกด์จะพาไปดูเดวิดที่ตั้งนอกอาคารที่ เปียซซ่า เดลลา ซินญอเรีย ซึ่งเมื่อก่อนตัวจริงก็ตั้งตรงนั้น แต่ถูกย้ายเข้ามาไว้ในอาคาเดเมีย ดิ เบลเล อารติ ดิ ฟิเรนเซ่ และที่คุณสมพิศเห็นนั่นเป็นตัวจำลองซึ่งไปตั้งแทน”

“โอ้ย! ตายแล้ว ไม่ย้อม ไม่ยอม อุตส่าห์แวะอิตาลีก่อนไปปารีสนี่ เพราะไอ้กระจู๋เดวิดอันเดียว …นี่ จริงๆ”

คุณสมพิศ เต้นเร่าๆ น้ำตาไหลพราก เหมือนเด็กๆ ที่ไม่ได้ของเล่นดังใจ ทำเอาทั้งอิตาเลียนและไม่เลียนแอบอมยิ้ม แต่พวกคนไทยต่างพลอยเขินอายไม่ขำตามไปด้วย จนแกรู้ตัวว่ากำลังเป็นตลกโชว์ที่ไม่ได้ค่าตัวอยู่กลางร้านจึงกระมิดกระเมี้ยนหลบมาเข้ากลุ่มนักเรียนไทยทันที

“ถามหน่อยนะ ตัวจริงกับตัวปลอมนี่มันแตกต่างกันตรงไหน”

“ตัวจริงมันเป็นหินอ่อนที่ดีที่สุด ผิวพรรณนิ่มนวลสวย ดูแล้วได้ความรู้สึกดีกว่า โดยเฉพาะกระจู๋ที่คุณสมพิศอยากดูนั่น ออร่าอะร้าอร่าม สุดขั้วหัวใจเลย”

“โอ้ย! ฟังแล้วเจ็บกระดองใจ” คุณสมพิศเริ่มออกอาการดราม่าอีก เอามือกุมหัวใจที่อกด้านซ้ายราวจะขาดใจตายลงตรงนั้นจริงๆ

“ไหว้ละ! ช่วยพากลับไปดูอีกทีได้ไหม” พูดจบคุณสมพิศก็คุกเข่านั่งลง มือทั้งสองประสานกลางอก ทำหน้าละห้อย

“ถ้าไม่พาไป ข้าน้อยจะคุกเข่าอยู่ตรงนี้ ให้เหน็บกินตายห่าตายโหงไปเลย”

“จริงๆ เหรอ”

“จริงซิวะ กะเทยใจเด็ดนะ”

“เฮ้ย! พวกเรา (andiamo อานเดียโม่) ไปกันเว้ย”

พวกนักเรียนไทยส่งภาษาอิตาเลียนแล้วต่างกรูกันเดินออกไปจากร้าน ทิ้งคุณสมพิศนั่งคุกเข่าหน้าเหลออย่างคาดไม่ถึงอยู่ตรงนั้น พอได้สติแกก็ออกวิ่งเตาะแตะตามไปอย่างกระชั้นชิด และทันกันในที่สุด

“ไอ้คนใจร้าย ทิ้งพี่อยู่คนเดียวได้ลงคอ” คุณสมพิศตัดพ้อทั้งที่ยังหอบแฮกๆ

“อ้าว! ไหนพี่ว่ากะเทยใจเด็ด จะคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไงล่ะ พวกเราก็อยากพิสูจน์ดูเหมือนกัน”

“ขอโทษนะ พี่ลืมบอกไปอีกอย่าง กะเทยตอแหลเก่งที่สุดในโลก ตกลงพาพี่ไปนะ”

ความจริงแล้วพวกนักเรียนไทยตกลงที่จะพาคุณสมพิศกลับไปดูเดวิดต้นฉบับ แต่แกล้งให้แกต้องตกอกตกใจออกกำลังวิ่งแก้หนาวไปยังงั้นเอง

คุณสมพิศจึงตัดสินใจยกเลิกโปรแกรมไปเที่ยวปอมเปอี และเนเปิลในวันพรุ่งนี้ เพื่อกลับไปดูกระจู๋จริงของเดวิดให้สมความตั้งใจอีกครั้ง ก่อนเดินทางต่อไปยังกรุงปารีสในวันมะรืน

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกนักเรียนไทยก็พาคุณสมพิศเดินทางด้วยรถไฟเอ๊กแพรสสู่เมืองฟลอเรนซ์ ซึ่งมีระยะทางห่างจากโรม เหมือนกรุงเทพฯ ไปนครสวรรค์ และใช้เวลาเดินทางเพียงสองชั่วโมงกว่าเล็กน้อย

ประติมากรรมหินอ่อน เดวิด (David) ของ มิเกลานเจโล (Michelangelo) ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ของโลกชาวอิตาเลียน เป็นประติมากรรมหินอ่อนแกะสลักรูป พระเจ้าเดวิด (King David) ตามตำนานในคัมภีร์ไบเบิล

ลักษณะเป็นชายหนุ่มยืนเปลือยกาย แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงและความงดงามของร่างกายมนุษย์ มีความสูง 5.17 เมตร หนักราว 6 ตัน มิเกลานเจโลแกะสลักระหว่างปี 2044-2047 โดยนำหินอ่อนสีขาวมาจากเมืองคาร์รารา (Carrara) แคว้นทัสคานีของอิตาลี

ในคราวที่นำออกแสดงครั้งแรกเป็นที่ฮือฮาของชาวเมืองอย่างมาก ส่งผลให้ชื่อเสียงของมิเกลานเจโนโด่งดังไปทั่วอิตาลี

ประติมากรรมเดวิดเป็นผลงานชิ้นเอกที่แสดงถึงความรุ่งเรืองทางศิลปะในยุค “ฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ” (Renaissance) เป็นหนึ่งในประติมากรรมชิ้นเอกของมิเกลานเจโล

เมื่อพาคุณสมพิศเข้าไปอยู่ตรงหน้ารูปแกะสลักเดวิด แม้พวกเขาจะปล่อยให้แกได้ใช้เวลาชื่นชมให้สมอยากอย่างเต็มที่ แต่ยังไม่ยอมให้พ้นจากสายตาไปเป็นอันขาด เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่า หากอารมณ์ของกะเทยเกิดระห่ำขึ้นมากะทันหันตอนไหน จะได้เข้าไปห้ามปรามมิให้เกิดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาได้ทัน

โชคดีที่คุณสมพิศไม่ได้ทำอะไรที่เป็นสิ่งที่ไปละเมิดกฎระเบียบ และมารยาทของการเข้าชมศิลปะในห้องอันแหนหวงของแกลเลอรีนี้ แกเพียงเดินวนรอบๆ รูปเดวิด ตาหลับพริ้มและปากเผยอระบายยิ้มอย่างคนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ของความสุขอย่างสุดยอด

บางครั้งก็นั่งลงกับพื้นตาจ้องเขม็งตรงกระจู๋เดวิดเป็นเวลานาน

ในที่สุด…เมื่อเติมเต็มจนล้นความทรงจำของรูปสลักเดวิด ระหว่างเดินทางกลับโรมจึงมีเวลาได้พูดคุยกันเกี่ยวการกลับมาดูเดวิดตัวจริงของแก

“เป็นไงครับ เดวิดตัวจริงถูกใจไหมครับ”

“สุดยอด ไม่เสียแรงที่ตัดสินใจกลับมา งามมาก งามจริงๆ”

“พี่อยากฟังเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับรูปเดวิดบ้างไหม”

“ดีซี่! และพี่เองก็มีคำถามอยู่พอดี”

“มีคนเขาว่า มิเกลานเจโลแกะสลักเดวิดจากแท่งหินอ่อนที่มีตำหนิ ซึ่งหลังการแกะสลักเสร็จแล้ว มิเกลานเจโลได้กะเทาะส่วนหนึ่งจากหน้าอกของรูปสลักออก ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นตำหนิบนเนื้อหินอ่อนนั่นเอง และในช่วง ค.ศ.1527 เกิดเหตุขึ้น มีคนปาเก้าอี้ไปโดนรูปสลักเดวิด จนส่วนแขนซ้ายของรูปปั้นแตกถึง 3 แห่ง ต้องซ่อมแซมใหม่จนดูกันไม่ออก มือขวาของเดวิดนั้นมีสัดส่วนที่ใหญ่เกินไปเมื่อเทียบกับขนาดลำตัวของเขา เหตุผลก็เพราะว่าเดวิดนั้นเป็นผู้ที่มีมือแข็งแรง”

“สำหรับความเห็นของพี่นั้น กระจู๋สวยงาม แต่ขนาดมันเล็กไปถ้าเทียบกับรูปร่างอันใหญ่โตของเดวิด”

“พี่นี่ตาแหลมจริงๆ สมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องกระจู๋ เพราะมีคนเกิดความสงสัยแบบนี้เช่นกัน แต่เป็นแพทย์สองท่านของเมืองฟิเรนเซ่ กล่าวตรงกันว่า ที่เดวิด กระจู๋หดเช่นนั้น เพราะว่ามิเกลานเจโลตั้งใจจะแสดงถึงความสะพรึงกลัวของเดวิดที่มีต่อยักษ์ โกไลแอต อาการกลัว สามารถสังเกตได้จากหน้าผากที่มีลักษณะของความตึงเครียดและความกลัว รวมไปจนถึงการหดตัวของตรงนั้นด้วย”

“น่าเสียดายนะ ถ้าเดวิดไม่กลัวยักษ์ซะหน่อย โอ้ย! สวรรค์…คงเป็นบุญตามากกว่านี้”

“พี่อย่าเสียใจ กลับไปดูกระจู๋เดวิด ของมีชีวิตจริงที่เมืองไทยต่อก็ได้นะ ผมรับรองพี่ไม่ผิดหวัง ผมเคยเห็นกับตามาแล้ว คนหนึ่งเพิ่งกลับไปเมืองไทยเมื่อเร็วๆ นี้ อีกคนเป็นกวีดังอยู่แถวร้านไอ้เนี้ยวหน้าพระลาน ตอนนี้แกกำลังฟอลอินเลิฟเด็กโบราณ พอเมาได้ที่มักจะกระโดดขึ้นโต๊ะอวดกระจู๋เดวิดของแกทุกที”

“อ๋อ! คนแรกรู้จักกันดี แต่พี่กลัวเมียนักเขียนปากจัดเขาจะมาแหกอกพี่เอานะซี คนที่สองไม่เอา น่ากลัว ปากจัดกะเทยยังด่าไม่แสบสันเท่าแก… พี่ไม่ง้อใครแล้ว ถ้าใครว่ากระจู๋เดวิดเล็กอีก ให้มาดูที่บ้านพี่ๆ จะเอารูปถ่ายกระจู๋ของเดวิดที่ซื้อมา กลับไปขยายเต็มฝาห้องนอน จะเอาใหญ่แค่ไหนก็ได้…แล้วแต่ความสะใจ”

เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เมื่อกลับมาอยู่ที่เมืองไทย ได้ข่าวคุณสมพิศได้เสียชีวิตไปก่อนหน้าแล้ว และไม่มีใครยืนยันได้ว่า ภาพกระจู๋เดวิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก …อยู่ที่บ้านแกจริง ดังได้ประกาศไว้แล้วหรือไม่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image