วิวาทะกัญชา : เป็นยาเสพติดหรือยารักษาโรค?

วิวาทะกัญชา : เป็นยาเสพติดหรือยารักษาโรค?

สําหรับเมืองไทยวันนี้ “กัญชา” ยังถูกแขวนป้ายว่าเป็นยาเสพติดผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 แม้จะเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 ซึ่งให้โทษต่อร่างกายน้อยกว่าประเภทอื่น แต่ก็ยังมีบทลงโทษไม่เบา

คือผู้ใดผลิต นำเข้าหรือส่งออกซึ่งกัญชาต้องระวางโทษทั้งจำทั้งปรับ โดยจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงหนึ่งล้านห้าแสนบาท

หรือถ้าหากขายกัญชาด้วยก็อาจมีโทษสูงสุดเท่ากับโทษฐานการผลิต

ด้วยเหตุนี้ “กัญชา” จึงถูกตีตรวนไว้ด้วยกฎหมายที่ขาดการพัฒนา เป็นเหตุให้ประเทศไทยและคนไทยขาดโอกาสที่จะได้รับประโยชน์อันมหาศาลจากกัญชาอย่างน่าเสียดาย

Advertisement

เรื่อง “กัญชา” กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ เมื่อท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมปรารภดังๆ กับสื่อว่าต้องมีการทบทวนใหม่ด้วยหลักวิชาการสากลเกี่ยวยาเสพติดให้โทษ

ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะ “กัญชา” ในเวลานี้โลกสากลได้เปลี่ยนกระบวนทัศน์การมองกัญชาจาก “ยาเสพติดให้โทษ” มาเป็น “ยารักษาโรค” อย่างน้อยใน 12 รัฐของสหรัฐอเมริกา การจำหน่ายและเสพยากัญชา ไม่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายอีกต่อไป

และอีก 15 รัฐ กำลังพิจารณาให้กัญชาเป็นสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมาย

Advertisement

โดยที่ก่อนหน้านี้มีบันทึกในปี ค.ศ.1876 (พ.ศ.2419 ตรงกับรัชกาลที่ 5 ของไทย) ซึ่งเป็นวาระเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีแห่งการได้รับเอกราชและการก่อตั้งประเทศอิสระขึ้นบนผืนทวีปอเมริกา ทางการสหรัฐได้ต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติด้วยการเสิร์ฟ “แฮ็ชชีช” (Hashish)!

ขอใส่เชิงอรรถเพิ่มเติมตรงนี้ว่า “แฮ็ชชีช” คือยางของกัญชา ซึ่งเตรียมได้ด้วยการนำเอา “กะหรี่กัญชา” (curry) หรือส่วนช่อดอกตัวเมียของกัญชามาใส่ในถุงผ้า ใช้ไม้ทุบให้ยางไหลออกมาแล้วจึงขูดยางออกจากถุงผ้า เท่านี้แหละก็ได้ “แฮ็ชชีช” ผลิตภัณฑ์กัญชาคุณภาพสูงราคาแพงที่เอาไว้เสิร์ฟเฉพาะพวกผู้ดีฝรั่ง

กล่าวกันว่าประธานาธิบดี จอร์จ วอชิงตัน ก็ยังชื่นชอบสมุนไพรใบแฉกชนิดนี้เป็นพิเศษ ท่านนำกัญชาไปปลูกไว้ที่บ้านพักบนภูเขาเมาท์เวอร์นอน (Mount Vernon) ด้วยตระหนักในสรรพคุณเภสัชอันล้ำค่าของมันนั่นเอง

ในช่วงที่เริ่มมีการต่อต้านการเสพกัญชาในสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น เคยปราศรัยปกป้องการใช้กัญชาของประชาชนว่า “การสั่งห้ามเสพกัญชาดำเนินการเลยขอบเขตของเหตุผล เป็นความพยายามควบคุมความต้องการของมนุษย์โดยใช้กฎหมาย ทำให้สิ่งที่มิได้เป็นอาชญากรรมกลายเป็นอาชญากรรม การห้ามเสพกัญชาเป็นการทำลายหลักการที่รัฐบาลของเรากำหนดขึ้น”

เช่นกันในยุควิกตอเรียของอังกฤษ (ค.ศ.1837-1901) กัญชาเป็นยารักษาโรคที่ได้รับความนิยมแพร่หลายในทางเภสัชกรรม เพื่อรักษาโรคภัยหลายอย่าง อาทิ อาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดประจำเดือน โรครูมาติซั่ม และลมบ้าหมู

เซอร์รัสเซลล์ เรโนลด์ แพทย์ประจำพระองค์สมเด็จพระราชินีวิกตอเรียกล่าวไว้ในบันทึกปี ค.ศ.1890 ว่า เขาใช้กัญชาเป็นพระโอสถบรรเทาอาการปวดประจำเดือนให้กับสมเด็จพระราชินีพระองค์นี้

ทั้งยังระบุว่า “เมื่อทำการสกัดให้บริสุทธิ์ กัญชาเป็นหนึ่งในยาทรงคุณค่าที่สุดเท่าที่มนุษย์มีอยู่”

ย้อนกลับมามองสยามสมัยกันบ้าง กัญชาเคยเป็นตัวยาสำคัญในตำรับพระโอสถเสวยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2199-2231) ลองพลิกไปดูตำราพระโอสถพระนารายณ์ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติไปเรียบร้อยโรงเรียนกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ แล้วมีอยู่ตำรับหนึ่งของขุนประสิทธิ์โอสถจีน ซึ่งเป็นโอสถบำรุงพระกำลัง กล่าวว่า

“ให้เอากัญชา ยิงสม (โสมจีน) สิ่งละส่วน เปลือกอบเชย ใบกระวาน กานพลู สะค้าน สิ่งละ 2 ส่วน ขิงแห้ง 3 ส่วน รากเจตมูลเพลิง ดีปลี สิ่งละ 4 ส่วน น้ำตาลกรวด 6 ส่วน กระทำเป็นจุณ (บดละเอียด) น้ำผึ้งรวงเป็นกระสาย บด เสวยหนักสลึงหนึ่ง แก้อาเจียน 4 ประการ ด้วยติกกะขาคิณีกำเริบ (ไฟธาตุแรงเกินไป เผาผลาญอาหารได้รวดเร็วเกินไป) และวิสมามันทาคินีอันทุพล (ไฟธาตุไม่สม่ำเสมอ เผาผลาญอาหารได้ไม่หมด) จึงคลื่นเหียนอาเจียนมิให้เสวยพระกระยาหารได้ ให้จำเริญพระธาตุทั้ง 4 เสวยพระกระยาหาร มีรส ชูกำลังยิ่งนัก ข้าพระพุทธเจ้า ขุนประสิทธิ์โอสถจีนประกอบทูลเกล้าฯ ถวาย ครั้งสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้าเมืองลพบุรี”

ในตำรับยานี้มีการใช้ดอกกัญชาแห้งเพียงเล็กน้อย กินเพียงครั้งละ 3.8 กรัม ก่อนอาหารเช้าครั้งเดียวก็เป็นยาช่วยปรับไฟย่อยอาหารให้สมดุล บำรุงร่างกายให้แข็งแรง ยิ่งไปกว่านั้น ใน “คัมภีร์แพทยศาสตร์สงเคราะห์” อันเป็นตำราแพทย์แผนไทยฉบับหลวงซึ่งสมเด็จพระปิยมหาราชรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้ากรมแพทย์ในสมัยของพระองค์สร้างขึ้นไว้ “เพื่อเป็นพระราชกุศล เป็นที่เฉลิมพระเกียรติยศ แลสำหรับแผ่นดินสืบไป”

ปรากฏว่ามีตำรับยาหลวงที่มี “กัญชา” เป็นตัวยาสำคัญอยู่ในสูตรยาถึง 11 ตำรับ โดยมีอยู่ในคัมภีร์ยาสำหรับเด็กทารก ยาสตรี และยาแก้กษัย (ยาชะลอความเสื่อมของร่างกาย) เป็นต้น

ในเมื่อมีหลักฐานชัดเจนว่า “กัญชา” เป็นภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยมายาวนาน โดยเคยเป็นพระโอสถเสวยของพระเจ้าแผ่นดินสยามและเป็นยาแผนไทยของชาติ

จึงสมควรที่รัฐบาลจะทบทวนบทบาทของ “กัญชา” ให้รอบคอบว่า กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษหรือเป็นยารักษาโรคชั้นดีที่ควรส่งเสริม

อย่างน้อยก็ควรปลดล็อกให้มีการวิจัยเรื่องกัญชาในแวดวงการแพทย์และเภสัชกรรมไทยซึ่งสามารถต่อยอดได้จากภูมิปัญญากัญชาไทย และงานวิจัยพืชกัญชาของต่างประเทศซึ่งก้าวหน้าไปถึงขั้นใช้สารสกัดกัญชารักษาเนื้องอกมะเร็งในสมองได้ผลดีกว่าเคมีบำบัด

ซึ่งยังมีเรื่องราวที่ต้องเล่าสู่กันฟังอีกในคอลัมน์นี้ต่อไป (ติดตามฉบับหน้า)

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image